เที่ยวเมืองมรดกโลกเวียดนาม “เว้ – ดานัง – ฮอยอัน”

ผมเชื่อว่านักเดินทางทั้งหลายกว่าค่อนครึ่ง ต้องมีเมืองท่องเที่ยวในอุดมคติไว้ในใจ หากไม่นับรวมเมืองหลวงพระบางของลาว นครรัฐเชียงตุงในพม่า เมืองเสียมราบแห่งเขมร ผมว่าเมืองเว้ อดีตราชธานีของเวียดนามก็เป็นหนึ่งในบรรดาเมืองท่องเที่ยวในอุดมคติของใครอีกหลายคน และในจำนวนอาจนับรวมผมเข้าไปด้วย

นับย้อนไปในอดีตกว่า 200 ปี ชื่อ “เวียดนาม” ปรากฏเป็นครั้งแรกในสมัยพระเจ้ายาลอง หรือ องเชียงสือ ตามประวัติศาสตร์เวียดนามมีความสัมพันธ์อันยาวนานต่อจีน ซึ่งได้รับอิทธิพลทั้งด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ถัง เมืองนี้ได้รับ
เอกราชใหม่ภายใต้ชื่อ “อัน นาม” และมีกษัตริย์ปกครองต่อมาถึง 8 ราชวงศ์

ประเทศเวียดนามมีรูปร่างคล้ายตัวอักษร “S” มีชายฝั่งด้านตะวันออกติดทะเลทอดตัวยาวกว่า 1,600 กิโลเมตร ขนาบไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ยังไหล่เขาและหมู่เกาะต่าง ๆ อีกนับพันเกาะ เรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าวไทย เวียดนามมี
การผสมผสานด้านวัฒนธรรมจากหลายชนชาติ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.432 เวียดนามตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจากจักรพรรดิจีนนานกว่าพันปี ดังนั้นสิ่งก่อสร้าง อาหารการกิน จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมของจีนมาก และยังมีความหลากหลายของผู้คนซึ่งเป็นชาวเขาหลากหลายชน

เผ่าซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนามและเมื่อสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามก็ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมบางส่วนจากฝรั่งเศส เช่น รูปทรงอาคารเป็นตึกสีเหลืองสไตล์โคโลเนียลมีให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างฮานอย
แหล่งท่องเที่ยวในเวียดนามนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เวียดนามเหนือ กลาง ใต้ ได้แก่เมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเวียดนามตั้งอยู่ทางเหนือ เป็นเมืองศูนย์กลางด้านการค้าและอุตสาหกรรม เมืองดานัง – เมืองเว้ เป็นเมืองประวัติศาสตร์อยู่ทางตอนกลางของเวียดนาม
เมืองโฮจิมินห์ซิตี้ เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ
การได้เดินทางมาเยือน “เมืองเว้” อดีตราชธานีสำคัญของเวียดนามในครั้งนี้ จึงนับเป็นความทรงจำอันยากแก่การลืมเลือน

“ภูไม่สูง น้ำไม่ลึก ชายเหลี่ยมจัด หญิงเสน่ห์ร้อนแรง” คือคำจำกัดความที่คนเวียดนามมอบให้กับ “คนเว้” ด้วยภูมิประเทศของเว้เป็นทั้งเสน่ห์ชวนฉงน และเป็นจุดอ่อนโดยตัวมันเอง เพราะเว้มีด้านที่ติดทะเล ขณะเดียวกันก็มีที่ราบน้อยนิดอยู่ประชิดภูเขาจึงไม่เหมาะที่จะทำ
การเกษตรและอุตสาหกรรม ทรัพยากรสำคัญอย่างเดียวที่เว้มีอยู่ก็คือ ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นเมืองแห่งทะเล ภูเขาและแม่น้ำที่งดงามแล้ว เว้ยังเต็มไปด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานที่ราชวงศ์เหวียนสร้างสมไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแก่คนเวียดนาม
รุ่นหลัง

เมืองเว้ เป็นอดีตหัวเมืองสำคัญที่อยู่ตอนกลางของประเทศ เคยเป็นราชธานีเก่าและเป็นเมืองของกษัตริย์ในราชวงศ์เหงียนนครแห่งประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและวิทยาการที่สำคัญที่สุด “เว้” เป็นเมืองมีเสน่ห์และคุณค่าด้านความงามตามธรรมชาติตั้งอยู่บนชายฝั่ง
แม่น้ำหอม เมืองนี้มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังหลวงของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียน พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2348 ในสมัยยาลอง และได้รับการปฏิสังขรณ์อีก 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2377 และ พ.ศ.2467 เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์เหวียน 13 พระองค์
พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นมรดกตกทอดอันยิ่งใหญ่และงดงามแห่งนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนความเชื่อของจีน
เว้ เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเวียดนาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาของพระราชวัง สุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน ตลอดจนป้อมปราการที่ตั้งสง่างามอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามไปบ้าง
แต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองสมกับเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม แม้ว่าความเก่าแก่จะไม่เท่ากับเมืองหลวงอย่างฮานอยที่มีอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี แต่เมืองเว้กลับยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและโบราณสถานอันสง่างามไว้ได้อย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจ
เลยหากชาวเวียดนามจะกล่าวว่า หากอยากรู้จักเวียดนามต้องมาเยือนเมืองนี้ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมือง
วัดเทียนมู ถือเป็นวัดที่มีความสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเวียดนาม โดยสร้างบนเนินดินตามศิลปะแบบจีนลักษณะเป็นทรงแปดเหลี่ยมสูง 21 เมตร ได้สร้างขึ้นตามความเชื่อพระพุทธศาสนามหายานศูนย์กลางนิกายเชนแห่งแรกของเว้ ภายในมีหอระฆังทรงหก
เหลี่ยมที่มีน้ำหนักถึง 2,052 กิโลกรัม เชื่อกันว่าเมื่อตีระฆังแล้วเสียงจะดังไปไกลถึง 10 กิโลเมตร
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามกลาง ดานังดูจะได้เปรียบในเรื่องความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าเยี่ยมชมอย่างพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่ออย่างไบเบียนนอนเนื้อก และวิว
ทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน สิ่งเหล่านี้เองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่งทุกมุมโลก จนทำให้อดีตหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้กลับกลายเป็นเมืองท่าที่น่าเยี่ยมชมที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม
เมืองเอกของจังหวัดกว่าง คือเมืองดานัง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำห่าน อยู่ระหว่างภาคกลางของประเทศเวียดนาม ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 108 กิโลเมตร ดานังในอดีตเคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง แต่ภายหลังที่แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน ดานังจึงถูกพัฒนาขึ้นเป็น
เมืองท่าแทนที่ จนกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศเวียดนาม
ในสมัยยุคอาณานิคม ฝรั่งเศสได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองดานังเมื่อปี พ.ศ.2401 ก่อนที่จะยึดเวียดนามเป็นอาณานิคมไว้ได้ในปี พ.ศ.2426 และในช่วงของสงครามเวียดนาม อเมริกาได้ใช้เมืองดานังเป็นฐานทัพอากาศในการโจมตีเวียดนามเหนือ เห็นได้จากร่องรอยของ
สงครามที่มีเหลืออยู่ เช่น โรงเก็บเครื่องบินเก่าของอเมริกันและสถานกงสุลเก่าของเอมริกันบนถนนแบ๊กดัง
ปัจจุบันดานังเป็นเมืองท่าที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะด้วยคุณลักษณะภูมิประเทศที่มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง มีสนามบินนานาชาติดานังไว้รองรับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ อีกทั้งสถานที่องเที่ยวก็น่าสนใจหลายแห่ง
เมืองฮอยอัน คนเวียดนามออกเสียงเป็น “โฮยอาน” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากดานังมากนัก ประมาณ 40 กม. ฮอยอันเป็นเมืองท่าค้าขายเก่าแก่ ซึ่งมีความรุ่งเรื่องมากในอดีต ต่อมาเมื่อสายน้ำเปลี่ยนทิศทาง เกิดการตื้นเขิน
การค้าขายจึงมารุ่งเรืองที่ ดานังแทน
ฮอยอัน อยู่ห่างจากเมืองท่าดานังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาตอนในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร เมืองเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ฮอยอันปรากฏอยู่ในแวดวง
ของนักเดินทางตะวันตกในศตวรรษที่ 17 และ 18 แรกเริ่มเมืองฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าชายทะเลในอาณาจักรจามปา เรียกกันในชื่อว่า “ได๋เจียน” โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ตราเกียว และมีศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมี่เซิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฮอยอันมากนัก
การเดินทางมาเยือนดินแดนมังกรแห่งจีนตอนใต้ ที่ชื่อ “เวียดนาม” นับเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าเหลือคณานับ เพราะในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสมรภูมิสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ปัจจุบันได้พลิกโฉมกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ รอการพิสูจน์
จากนักเดินทางให้เข้าไปสัมผัสถึงความงามแห่งศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติที่คงความบริสุทธิ์ วิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ เหล่านี้คือเสน่ห์ของดินแดนมังกรแห่งจีนตอนใต้…”ซินจ่าว เวียดนาม”
บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น