ผวาโรคอุบัติใหม่ แตกตื่นจุดเสี่ยง ฉุดทัวร์เชียงใหม่หงอย

ผู้ประกอบการธุรกิจที่พัก ทัวร์จีนย่านพระปกเกล้า นครเชียงใหม่ กล่าวว่า กรณีการนำเสนอความเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสโคโรนาในพื้นที่ รวมถึงการนำเสนอจุดเสี่ยงที่ตอกย้ำให้รับรู้ว่าจะเป็นจุดที่มีทัวร์จีนชุมนุมกันแต่ละแหล่งทัวร์ ส่งผลให้กลุ่มกิจการ ธุรกิจที่เกี่่ยวข้องได้รับผลกระทบ

โดยข้อเท็จจริงแล้ว มาตรการป้องกันโรคดังกล่าว ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่สื่อสังคมนำเสนอ แบ่งปันข้อมูลออกไป ทั้งปัญหาหมอกควัน มลพิษฝุ่นPM2.5 และกรณีโรคนี้ ยอมรับว่าแวดวงการทัวร์จีนในเชียงใหม่ถูกยัดเยียดข้อหา เป็นจำเลยสังคม มองประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าผลที่จะตามมา ทั้ง ๆ ที่ ทัวร์จีนเหล่านี้ บางกรุ๊ปไม่ได้มาจากเมืองอู่ฮั่น ต้นตอของการเกิดโรคดังกล่าว ประกอบกับมีมาตรการงดสายการบินตรง อู่ฮั่น-เชียงใหม่ และเที่ยวบินจากเมืองอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงเข้ามา ก็ไม่เข้าใจว่าต้นสายปลายเหตุของการแบ่งปันข้อมูล จนเลยเถิด เพราะอะไร ควรคัดกรองข้อมูลในการสื่อสาร และรับรู้ด้วย เพราะผลเสียที่จะตามมาคือ การท่องเที่ยวในบ้านเราจะชะลอตัว

ด้านศูนย์ข้อมูลธุรกิจท่องเที่ยวไทย ประเมินว่า หากทัวร์จีนปฏิบัติตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน ที่แนะนำให้งดเดินทางท่องเที่ยว จนกว่าสถานการร์โรคนี้จะคลี่คลาย ผลกระทบที่ตามมาคือ ในช่วง 1-2 เดือนที่คาดว่าวัคซีนที่ศึกษาวิจัยจะสามารถนำมาใช้บำบัดรักษาอาการผู้ป่วยติดเชื้อได้
อาจจะทำให้ทัวร์จีนหายไปจากระบบตลาดเที่ยวไทย 1.2-1.3 ล้านคน รายได้ราว ๆ 4-5 หมื่นล้านบาท และเมืองท่องเที่ยวหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต, หัวหิน, เชียงใหม่ คงได้รับผลกระทบพอสมควร เช่น เทศกาลงานไม้ดอกไม้ประดับ เริ่มพบกรณีการยกเลิกโปรแกรมท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวไทยบ้างแล้ว รวมถึงจุดชุมนุม แหล่งที่มีทัวร์จีนมาก ๆ ก็พลอยทำให้ผู้คนในพื้นที่หลีกเลี่ยง เดินทางมา จับจ่าย ใช้ชีวิตตามปกติบ้างแล้ว

ล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อ หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ยกเลิกเที่ยวบินตรงจากอู่ฮั่น มาไทยแล้ว ทางกรมควบคุมโรคได้ปรบแผน เพิ่มมาตรการคัดกรองผู้เดินทางมาจากเมืองอื่นของจีน โดยเริ่มที่กวางโจว มณฑลกวางตุ้ง สู่จุดหมายปลายทาง สนามบินหลักๆของประเทศ ซึ่งเป็นที่นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวของทัวร์จีน เช่น สนาม
บินเชียงใหม่

สำหรับการคัดกรอง เฝ้าระวังผู้เดินทางมาท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ตั้งแต่ 3-24 มกราคม 63 จาก 137 เที่ยวบิน ( สุวรรณภูมิ,ดอนเมือง,เชียงใหม่,กระบี่และภูเก็ต ) พบว่าผู้เดินทาง 21,522 รายมีผู้ต้องสงสัยเฝ้าระวังเพียง 60 ราย ปล่อยตัวส่งกลับบ้าน 37 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้ตามฤดูกาล ที่เฝ้าระวัง 7 ราย
เป็นหญิงไทย อายุ 29 ปีขึ้นเครื่องกลับที่อู่ฮั่น ผลตรวจเป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ บี และอีก 4 รายเป็นชาวจีน ให้กลับบ้านไป 3 ราย เหลือ 2 รายติดตามอาการ ซึ่งดีขึ้นเป็นลำดับ รายที่6 รอดูอาการ ส่วนรายที่ 7 เป็นหญิงชาวจีน อายุ 38 ปี มีอาการไข้ ไอ เข้ารับการรักษาในห้องแยกความดันลบในโรงพยาบาลมหาราช เมื่อ 25 มกราคม 2563 กำลังรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ

ทั้งนี้นายแพทย์ ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธฺบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า ผลการเฝ้าระวัง ตรวจติดตามยังไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน ซึ่ง ไวรัสโคโรน่า ก็คือไวรัสที่ก่อโรคหวัด ที่เกิดขึ้นเป็นรูปแบบของกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ การรักษาโดยทั่วไปคือการรักษาตามอาการ อยากให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ หน่วยงานที่เป็นศูนย์รับผิดชอบ เพราะ ข่าวแต่ละที่ออกมาแต่ละวันไม่เหมือนกัน ขอให้มีสติและวิจารณญาณในการติดตามข่าวสาร ติดตามรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการของกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เช้าวันนี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) แถลงว่ายอดผู้ติดเชื้อในไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มี1,975 ราย เป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤต 324 ราย ผู้เสียชีวิต56 ราย องค์การอนามัยโลก ประกาศให้โรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น สถานการณ์ฉุกเฉินในจีน ยังไม่ถึงขั้นเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

จากเพจเฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่าโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ สามารถป้องกันได้ด้วยการ สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ รับประทานอาหารปรุงสุกร้อน(กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ) หากมีไข้ ร่วมกับอาการทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ เจ็บคอมีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขทุกพื้นที่

ร่วมแสดงความคิดเห็น