(มีคลิป) หนุ่มแฉมิจฉาชีพ ย่านนิมมานฯ หาเหยื่อรถถูกล็อคล้อ รับเคลียร์ใบสั่งตำรวจ วอนหน่วยงานเข้าตรวจสอบ

วันที่ 12 มี.ค. 63 รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่ขณะนี้ได้มีชายชื่อ นายบอย (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี เจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่งย่านนิมมานเหมินทร์ ได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่า ที่บริเวณถนนย่านนิมมานเหมินทร์ ได้มีชาย ซึ่งมีพฤติกรรมเข้าข่ายมิจฉาชีพ ออกมาตระเวนขับรถไปตามถนนย่านดังกล่าว เพื่อหาผู้เสียหายที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจล็อคล้อ เนื่องจากกระทำผิดโดยจอดรถในจุดห้ามจอด แต่ชายคนดังกล่าวจะเข้าไปทำการพูดคุย และอ้างว่าสามารถเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ โดยที่ทางผู้เสียหายไม่ต้องเดินทางไปจ่ายค่าปรับ หรือเสียเวลานาน พร้อมทั้งเรียกรับเงินค่าดำเนินการ ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานดังกล่าวแต่อย่างใด และพบว่าพฤติกรรมของชายคนดังกล่าวเข้าข่ายการรีดไถเงิน โดยจากการเฝ้าดูพฤติกรรมก็พบว่ามีประชาชนตกเป็นเหยื่อมาแล้วหลายราย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเกรงว่าหากปล่อยไว้จะกลายเป็นธุรกิจสีเทา ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองเชียงใหม่ และอยากตีแผ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการกับบุคคลดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้จากการสอบถามทาง นายบอย (นามสมมุติ) เจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่งย่านนิมมานเหมินทร์ เปิดเผยว่า ตนได้พักอาศัยและทำธุรกิจอยู่ภายในย่านนี้มาหลายปี จนกระทั่งสังเกตเห็นความผิดปกติดังกล่าวขึ้น ซึ่งตนจะเห็นชายคนหนึ่งลักษณะรูปร่างท้วม ผิวคล้ำ ซึ่งบางวันสวมเสื้อคลุมสีดำ กางเกงขายาวรองเท้าผ้าใบ และบางวันก็จะสวมชุดของบริษัทส่งอาหารเดลิเวอรี่บริษัทหนึ่ง ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปมาตระเวนอยู่ภายในถนนย่านนิมมานเหมินทร์วันละหลายรอบ จนกระทั่งต่อมาตนทราบว่าชายคนดังกล่าว ได้ขับขี่รถตรวจดูว่ารถยนต์ของคนที่มาจอด ถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจล็อคล้อหรือไม่ แล้วหากพบเจ้าของรถที่ถูกล็อคล้อก็จะเข้าไปพูดคุยด้วย พร้อมทั้งแสดงตัวอ้างว่าสามารถช่วยเคลียร์กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ โดยที่ทางผู้เสียหายหรือเจ้าของรถยนต์ที่ถูกล็อคล้อ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจ่ายค่าปรับแต่อย่างใด
โดยพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าว จะพูดคุยเกลี้ยกล่อมให้ผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินให้ จากนั้นก็จะถ่ายภาพใบสั่งที่ติดอยู่กับกระจกรถของผู้เสียหาย หรือโทรศัพท์ไปตามเบอร์โทรที่ระบุในใบสั่ง จากนั้นไม่เกิน 10 นาที ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ล็อคล้อ เข้ามาทำการปลดล็อคล้อให้ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าชายคนดังกล่าวมีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อย่างไร แต่พบว่าชายคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าวแต่อย่างใด และนอกจากนี้ ชายคนดังกล่าวก็จะมีการระมัดระวังตัว ไม่ยอมให้ถ่ายภาพ ซึ่งตนมองว่าการกระทำดังกล่าว เข้าข่ายของมิจฉาชีพที่รีดไถเงินประชาชน ทั้ง ๆ ที่หากมีการจับกุมหรือล็อคล้อจริง ก็ควรที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการเองโดยตรง หรือไม่จำเป็นต้องล็อคล้อ เพราะปัจจุบันการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก็สามารถแจ้งตรวจสอบข้อมูลได้ตามทะเบียนรถ รวมไปถึงหากไม่มีการตีแผ่การกระทำดังกล่าว ก็เกรงว่าจะมีประชาชนอีกหลายราย ตกเป็นเหยื่อพฤติกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ที่ตนนำเรื่องนี้มาเปิดเผย เพราะต้องการให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น อีกอย่างก็เกรงว่าการกระทำในลักษณะนี้ จะมีการร่วมกันทำเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหรือไม่ รวมไปถึงอยากให้มีการแก้ไขปัญหาในเรื่องการจอดรถในพื้นที่ ซึ่งควรมีการติดป้ายแจ้งเตือนจุดจอดหรือจุดห้ามจอดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนทราบ รวมทั้งการดำเนินการลงโทษกับผู้กระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งควรจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยตรง ที่เข้ามาดำเนินการไม่ใช่มีบุคคลมาแอบอ้าง หรือรับเคลียร์ให้ในลักษณะนี้ เพราะตนมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นการทำธุรกิจสีเทา ที่ขยายวงกว้างขึ้นได้หากไม่มีการตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปที่ พ.ต.ท.ศุภชัย จันทรา รอง ผกก.กลุ่มงานจราจร ตร.ภ.จ.เชียงใหม่ ถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดย พ.ต.ท.ศุภชัย ได้กล่าวว่าไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน พึ่งทราบจากที่ผู้สื่อข่าวมาสอบถาม แต่ในกรณีนี้ขอยืนยันว่าไม่ใช่นโยบายของกลุ่มงานจราจร ที่จะให้มีคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยหรือช่วยเหลือเสียค่าปรับ โดยไม่ต้องมาจ่าย กลุ่มงานจราจรฯ
โดยตามกฎหมายแล้ว ผู้ที่โดนล็อคล้อจะต้องมาจ่ายค่าปรับที่ กลุ่มงานจราจร ตร.ภ.จ.เชียงใหม่ แล้วจะได้ใบเสร็จ หลังจากนั้นทางศูนย์วิทยุ จะแจ้งไปที่เจ้าหน้าที่จราจรที่ทำการล็อคล้อ เพื่อไปปลดล็อค จะไม่มีการให้คนกลางเข้ามาจัดการ ต่อจากนี้จะดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงอีกครั้ง

ร่วมแสดงความคิดเห็น