ข่าวดี กรมส่งเสริมการเกษตร ผ่อนปรนให้เกษตรกร ที่ยังไม่ได้เพาะปลูก แจ้งความประสงค์รับเงินเยียวยา โควิด-19 ก่อน 15 พ.ค. นี้ รับ 15,000 บาท ต่อครัวเรือน

ตามแนวทางการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรเพื่อนำไปใช้ใน โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและครอบครัว โดยจ่ายเงินช่วยเหลือ จำนวน 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 15,000 บาทถ้วน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกร จำนวนไม่เกิน 10 ล้านครัวเรือน ประกอบด้วย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง

นายธวัชชัย สิทธิวีระกุล เกษตรจังหวัดลำปาง ให้ข้อมูลว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เกษตรกรที่จะมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตร คือ หัวหน้าครัวเรือนเกษตรกร ซึ่งจังหวัดลำปาง มีครัวเรือนเกษตรกร 127,010 ครัวเรือน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2563) โดยเกษตรกรที่จะมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

  • เกษตรกรกลุ่มที่ 1 คือ เกษตรกรที่ขึ้นและปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรแล้ว ปี 2562/63 ซึ่งขณะนี้จังหวัดลำปางได้ส่งข้อมูลให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรแล้ว จำนวน 85,848 ครัวเรือน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะพิจารณาคัดกรองและส่งรายชื่อให้ กระทรวงการคลัง ต่อไป
  • เกษตรกรกลุ่มที่ 2 คือ เกษตรกรรายเดิมที่ได้ปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรก่อนปี 2562 จำนวน 41,162 ครัวเรือน และเกษตรกรรายใหม่ จำนวน 1,042 ครัวเรือน ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 โดยให้สำนักงานเกษตรอำเภอทั้ง 13 อำเภอ เปิดให้บริการเกษตรกรเป็นปกติ ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร

จากการดำเนินการของสำนักงานเกษตรอำเภอ ซึ่งได้ดำเนินการจัดพิมพ์รายชื่อเกษตรกรที่แจ้งขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ปี 2562 และเฉพาะที่ปรับปรุงข้อมูล ปี 2563 นำไปติดประกาศในชุมชน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา และพบว่า ยังมีเกษตรกรบางส่วน ที่ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนหรือปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรได้ เนื่องจากในปีการผลิต 2562/63 ประสบปัญหาภัยแล้ง ไม่สามารถเพาะปลูกได้ และ ณ ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำการเพาะปลูกในปีการผลิต 2563/64 เพราะต้องรอน้ำฝน แต่มีความประสงค์ที่จะปลูกพืชจริง และต้องการขอรับสิทธิ์ฯ

ดังนั้น กรมส่งเสริมการเกษตร จึงได้สั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัดลำปาง กำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินงานของสำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่ง ให้สามารถดูแลเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง จึงผ่อนปรนให้เกษตรกรดังกล่าว สามารถยื่นแบบแสดงความจำนงการปลูกพืชได้ โดยจะจัดให้เป็น “เกษตรกรกลุ่มที่ 3” เกษตรกรกลุ่มนี้สามารถยื่นแบบคำร้อง ทบก. 01 (โดยยังไม่ต้องแนบหลักฐาน) แล้วนำไปใส่กล่องรับคำร้องที่ตั้งอยู่หน้าสำนักงานเกษตรอำเภอ ด้วยตนเอง หรือผ่านผู้นำชุมชน อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 โดยจะต้องเป็นเกษตรกรที่คาดว่าจะเพาะปลูกพืช ภายในวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563 เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะยังไม่บันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบทะเบียนเกษตรกร แต่จะนับจำนวนเกษตรกรที่มีในกล่อง รายงานให้กระทรวงเกษตรฯ ทราบ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติมเป็นกลุ่มเป้าหมายโครงการฯ ต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อ “เกษตรกรกลุ่มที่ 3” ได้ทำการเพาะปลูกพืชแล้ว ไม่น้อยกว่า 15 วัน ให้มาแจ้งยืนยันว่าได้มีการเพาะปลูกพืชแล้วกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง โดยส่งแบบคำร้อง ทบก. 01 ที่ผู้นำชุมชนลงชื่อรับรอง แนบหลักฐาน ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารสิทธิ์ที่ดินที่ทำการเกษตร และรูปภาพถ่ายพืชที่ปลูกพร้อมเจ้าของแปลง เจ้าหน้าที่จึงจะบันทึกข้อมูลและตรวจสอบตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จต่อไป

เกษตรจังหวัดลำปาง กล่าวย้ำว่า ขอให้เกษตรกรทำความเข้าใจว่า “เกษตรกรกลุ่มที่ 3” นี้เป็นกลุ่มที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ท่านจะมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาหรือไม่ ขอให้รอผลการคัดกรองตรวจสอบสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการฯ และ ธ.ก.ส. จะโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้น

ทั้งนี้ หากเกษตรกรแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อทางราชการ หรือตรวจสอบพบภายหลัง ธนาคารสามารถที่จะดึงเงินคืนได้ทุกกรณี และเกษตรกรจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 คือ

  • มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 267 ผู้ใดแจ้งเจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ร่วมแสดงความคิดเห็น