วันที่ 12 มิถุนายน 2563 พลตำรวจโท ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร.) เปิดเผยว่าตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้พิจารณาให้ผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 4 โดยจะยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป รวมถึงอนุญาตให้มีการจำหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกฮอล์ภายในร้านอาหารได้นั้น
พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตระหนักถึงภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชน และเพื่อเป็น การให้ข้าราชการตำรวจทั่วประเทศได้เตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ให้สอดคล้องกับการผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมในระยะที่ 4 จึงได้มีวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ ๐๐๐๗.๓๕/๑๖๘๐ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ ไปยังข้าราชการตำรวจทุกหน่วยทั่วประเทศ โดยให้ทุกหน่วยดำเนินการดังนี้
1. ดำรงความต่อเนื่องในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอาชญากรรมที่เป็นการซ้ำเติมประชาชน เช่น การประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน การกู้ยืมเงินโดยมีอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น
2. เพิ่มความเข้มในการตั้งจุดตรวจจุดสกัดและกวดขันจับกุมอาชญากรรมที่กระทบ ต่อชีวิตประจำวันและความสงบสุขของประชาชนและสังคม เช่น การรวมกลุ่มแข่งรถในทาง การขับขี่รถขณะเมาสุรา ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ หรือความผิดอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดซึ่งออกตามความใน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
3. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลาย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด
ทั้งนี้การปฏิบัติให้เป็นไปตามลำดับขั้น คือ
1. ขั้นประชาสัมพันธ์
2. ขั้นแนะนำตักเตือน เพื่อให้มีการปรับปรุงการดำเนินการให้ถูกต้องหรือครบถ้วน
3. ขั้นดำเนินคดี มีการแนะนำตักเตือนแต่ยังคงไม่ปฏิบัติตามและมีเจตนาที่จะฝ่าฝืน
พลตำรวจโท ปิยะฯ กล่าวอีกว่า “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังได้เน้นย้ำให้ผู้บังคับบัญชา ทุกระดับกำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุภาพ และห้ามมิให้มีการเรียกรับผลประโยชน์เป็นอันขาด หากตรวจพบให้พิจารณาดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาอย่างเฉียบขาดทุกราย”
“ตำรวจไม่ได้ต้องการที่จะจับกุม ลงโทษ หรือเอาคนเข้าคุก เราเพียงมุ่งหวังให้ ประเทศหลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนโปรดให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้” พลตำรวจโท ปิยะฯ กล่าวทิ้งท้าย
ร่วมแสดงความคิดเห็น