จังหวัดเชียงใหม่ครองแชมป์อุบัติเหตุสูงสุด พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย หลังเข้าสู่ช่วง 6 วันของการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ

วันนี้ (4 ม.ค. 64) ที่ห้องศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดเชียงใหม่ (POC) ชั้น 3 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ว่าที่ร้อยตรี ณัฐพงค์ ฐิตวิกรานต์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับมอบหมายจาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปีนี้ได้กำหนดช่วง 7 วันอันตรายไว้ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564

สำหรับสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำวันที่ 3 มกราคม 2564 พบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 14 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 14 ราย เป็นชาย 13 ราย หญิง 1 ราย และมีผู้เสียชีวิต 5 ราย เป็นชาย 3 หญิง 2 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ได้แก่ อำเภอสันทราย 2 ราย แม่แตง 2 ราย และอำเภอสันป่าตอง 1 ราย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการเมาสุรา รองลงมาคือขับรถเร็วเกินกำหนด ในส่วนของอำเภอที่ยังไม่มีรายงานของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ มีจำนวน 12 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกัลยาณิวัฒนา จอมทอง ดอยหล่อ ฝาง สะเมิง สารภี ฮอด เชียงดาว เวียงแหง แม่ออน แม่แจ่ม และอำเภอไชยปราการ

ด้าน สถิติอุบัติเหตุทางถนนโดยรวมทั่วทั้งประเทศสะสมในช่วง 6 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,072 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 358 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,073 คน ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เน้นกวดขันการขับรถเร็ว การเมาแล้วขับ การใช้อุปกรณ์นิรภัย และการเรียกตรวจประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ รวมถึงรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์สาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุทางถนน พร้อมถอดบทเรียนการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเพื่อกำหนดมาตรการและกลยุทธ์ในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และรูปแบบการเดินทางของประชาชน

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 เผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 3 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 325 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 40 ราย ผู้บาดเจ็บ 333 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 35.69 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 24.31 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 83.08 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 68.00 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 40.92 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 32.31 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 26.77 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด อยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 33.24 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,948 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 61,878 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 577,602 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 127,568 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 35,357 ราย ไม่มีใบขับขี่ 31,084 ราย

โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (14 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (5 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงใหม่ (จังหวัดละ 14 คน) สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 6 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.63 –3 ม.ค. 64) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,072 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 358 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,073 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 9 จังหวัด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (111 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย นครราชสีมา(จังหวัดละ 16 ราย) จังหวัด ที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (113 คน)

นายอรรษิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนทั้งจำนวนครั้ง จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวนผู้บาดเจ็บลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและเมาสุรา สำหรับในวันนี้คาดว่าประชาชนบางส่วนยังอยู่ระหว่างการเดินทาง ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจึงได้ประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างต่อเนื่อง เน้นกวดขันการขับรถเร็ว การเมาแล้วขับ การใช้อุปกรณ์นิรภัย และการเรียกตรวจประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ รวมถึงดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงอุบัติเหตุในเส้นทางหลักเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยตั้งกรวยริมไหล่ทางปิดจุดกลับรถ เปิดสัญญาณไฟเตือนบนเส้นทางเป็นระยะ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน

ร่วมแสดงความคิดเห็น