​กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงอยู่ในบริเวณพื้นที่โล่งแจ้ง และควรงดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นสื่อเหนี่ยวนำไฟฟ้า ในช่วงฝนตกหนัก เพราะอาจทำให้เสี่ยงฟ้าผ่าได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา ได้รายงานว่าในช่วงวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของประเทศไทยจะมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ทำให้อาจมีลูกเห็บตกได้ในบางพื้นที่ และอันตรายจากฟ้าผ่า ซึ่งการก่อตัวของพายุอาจทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดฟ้าผ่า และนำภัยอันตรายมาสู่ชีวิตได้ ประชาชนจึงต้องรู้จักป้องกันตนเอง โดยขณะเกิดฝนฟ้าคะนองให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่ง เช่น ทุ่งนาสนามฟุตบอล สนามกอล์ฟ หากเลี่ยงไม่ได้ต้องไม่อยู่ใกล้ที่สูง เช่น ต้นไม้สูง เสาโทรศัพท์ เสาไฟฟ้า ถอดวัตถุหรือเครื่องประดับที่เป็นโลหะออกจากร่างกาย ถ้าหากหลบอยู่ในรถยนต์ ให้จอดรถห่างจากต้นไม้ใหญ่ ตึกสูง เสาไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ดับเครื่องยนต์ ปิดกระจก และอย่าสัมผัสกับส่วนใดส่วนหนึ่งของรถที่เป็นโครงโลหะ เมื่ออยู่ในอาคาร ควรปิดประตูหน้าต่างทุกบาน และอยู่ห่างจากผนังอาคาร ประตูและหน้าต่าง ถอดปลั๊กอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าออกให้หมด

“หากพบเห็นผู้ที่ถูกฟ้าผ่า ให้สังเกตบริเวณที่เกิดเหตุว่ายังมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้ามี ให้เคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย โดยแตะต้องตัวผู้ถูกฟ้าผ่าได้ทันที เนื่องจากคนที่ถูกฟ้าผ่าจะไม่มีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ในตัว ซึ่งต่างจากผู้ที่ถูกไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าซ็อต รีบโทรแจ้งเหตุสายด่วนช่วยชีวิต 1669 พร้อมให้ข้อมูลสถานที่เกิดเหตุและอาการของผู้ป่วย จากนั้นปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นจากศูนย์รับแจ้งเหตุในการดูแลผู้ป่วย ระหว่างรอรถฉุกเฉินมารับผู้ป่วย กรณีที่ผู้ถูกฟ้าผ่า หมดสติ หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ โดยสังเกตได้จากอาการริมฝีปากเขียว สีหน้าซีดเขียวคล้ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมาก หรือไม่เคลื่อนไหวเลย ชีพจรบริเวณคอเต้นช้าและเบามาก ให้รีบปฐมพยาบาลโดยใช้การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน หรือซีพีอาร์ (CPR คือ ผายปอดด้วยการให้ลมทางปากหรือที่เรียกว่า การเป่าปาก ร่วมกับการนวดหัวใจ หรือหากในบริเวณนั้นมีเครื่องช่วยชีวิตฉุกเฉิน (AED) ก็สามารถใช้เพื่อช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ทันที และรีบนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ร่วมแสดงความคิดเห็น