(มีคลิป) เชียงราย จับมือจี้ชิงทอง 114 บาทกลางเมืองเชียงราย เผยเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อเหตุในพื้นที่บ้านดู่

รองผู้บัญชาการตำรวจจภูธรภาค 5 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาชิงทองคำที่ห้างทองเยาวราชสินทวี สาขาป่าก่อเงี้ยว ได้ทองคำไป 114 บาท สารภาพเป็นคนเกียวกับที่ก่อเหตุในพื้นที่ สภ.บ้านดู่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีเพื่อนร่วมขบวนการเป็นชาวเมียนมา ทองคำทั้งหมดนำไปขายประเทศเพื่อนบ้านแล้ว อยู่ระหว่างประสานเมียนมาติดตามจับกุม

เวลา 09.30 น.วันที่ 2 ก.ค.64 พล.ต.ต.เฉลิมพล จินตรัตน์ รอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายบุกจี้ร้านทองเยาวราชสินทวี สาขาตลาดป่าก่อเงี้ยว ถนนพหลโยธินายเก่า เขตเทศนครเชียงราย โดยชิงทองรูปพรรณน้ำหนัก 114 บาท เหตุเกิดวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คนคือนายพิเชษฐ์ ซาวคำเขต อายุ 24 ปี ชาว ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย พร้อมนำรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า M-SLAZ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ที่ใช้นการก่อเหตุมาร่วมแถลงข่าวด้วย โดบในการหลบหนีจากจุดเกิดเหตุคนร้ายได้ใช้เส้นไปยัง อ.แม่จัน อ.ดอยหลวง อ.เชียงแสน และ อ.แม่สาย ก่อนหลบหนีไปยัง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา

พล.ต.ต.เฉลิมพล จินตรัตน์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาได้รับสารภาพว่าได้ร่วมกับกับเพื่อนชาวเมียนมาในการวางแผนก่อเหตุ โดยหลังก่อเหตุได้หลบหนีออกนอกประเทศไปตามช่องทางด้าน อ.เชียงแสน และไปอยู่ในฝั่งประเทศเมียนมาจากนั้นนำทองคำที่ได้ไปขายในราคาบาทละ 18,000 บาท ปัจจุบันของกลางยังคงอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านส่วนสาเหตุที่ทำลงไปเพราะเรื่องหนี้สิน และยังเคยก่อเหตุจี้ชิงทองที่ร้านทองสินทวี สาขา ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย เมื่อต้นปี 2564 ที่ผ่านมาด้วย โดยผู้ร่วมก่อเหตุเป็นชาวเมียนมาเช่นกัน โดยใน 2 คดีนี้มีผู้ร่วมก่อเหตุ 3 คน ปัจจุบันได้มีการประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อติดตามจับกุมนำมาดำเนินคดีในฝั่งไทยแล้ว ทั้งนี้จากกรณีทั้ง 2 คดีดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอแจ้งเตือนไปยังร้านทองต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบให้ติดลูกกรงป้องกันให้เรียบร้อยเพราะปัจจุบันในประเทศไทยมีการติดตั้งแล้วกว่า 90% แล้วเพราะทำให้เป็นจุดอ่อนให้คนร้ายใช้จู่โจมชิงทองได้

สำหรับคดีจี้ชิงทองครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าหลังก่อเหตุนายพิเชษฐ์ พร้อมพวกได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุซึ่งยืมมาจากเพื่อนคนไทย จากนั้นนำไปฝากไว้ที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนหลบหนีข้ามฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ไปและเมื่อกลับมายังฝั่งไทยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ได้นำรถจักรยานยนต์ไปคืนให้เพื่อนแล้วเปลี่ยนมายืมรถยนต์กระบะอ้างว่าจะนำไปทำธุระเร่งด่วน แล้วขับรถไปตามถนนสาย อ.เมืองเชียงราย-อ.เทิง แต่มาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวมาโดยตลอดจึงออกติดตามจับกุมได้ในที่สุด

ร่วมแสดงความคิดเห็น