รพ.หลายแห่งในเชียงใหม่ ประกาศหยุดฉีดวัคซีน รอความชัดเจนสลับชนิด

วันที่ 14 ก.ค. 64 รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่ในวันนี้ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งข้มูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ประกาศหยุดให้บริการวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่รับการจัดสรรจากรัฐบาลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยระบุเห็นผลตรงกันว่า เพื่อรอความชัดเจน เนื่องจากมีการทบทวนการเปลี่ยนแปลงสูตรฉีดวัคซีนของคณะกรรมการโรคติดต่อ

โรงพยาบาลที่ประกาศงดให้บริการฉีดวัคซีน อย่างเช่น โรงพยาบาลราชเวช โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงพยาบาลหางดง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการชี้แจงจากคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่ระบุชัดเจนว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนแบบสลับชนิดตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพียงการอธิบายในการแถลงข่าวของศูนย์บัญชาการสถานการณ์การระบาดโรค Covid-19 จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อช่วงค่ำวานนี้ ยืนยันประสิทธิภาพของการฉีดแบบสลับชนิด

โดย นพ.วรัญญู จำนงประสาทพร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สลับชนิดกัน โดยให้วัคซีนเข็มที่ 1 เป็นวัคซีนซิโนแวค และเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยให้ฉีดห่างจากเข็มแรก 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์ Delta โดยร่างกายจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น ใกล้เคียงกับผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม แต่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่าภายในเวลา 3 สัปดาห์ ส่วนในกรณีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้วให้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเช่นเดียวกัน โดยมีระยะห่างระหว่างเข็ม 12 สัปดาห์

ในส่วนของการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วไป ในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนผู้ประสงค์ฉีดวันซีน แล้ว 802,027 คน และได้ฉีดวัคซีนไปแล้ว 189,346 คน ทั้งนี้ทางจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการบริหารจัดการวัคซีนที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลางมาเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ มีวัคซีนที่สามารถฉีดให้กับผู้ที่ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมได้จนถึงวันอาทิตย์นี้ และหากจังหวัดเชียงใหม่ได้รับวัคซีนตามที่ได้รับแจ้งจากส่วนกลางมาครบจำนวน จะสามารถฉีดให้กับผู้ที่ลงทะเบียนในเว็บไซต์กำแพงเวียง และรายชื่อเป็นองค์กรที่ส่งเข้ามาให้กับสำนักงานสาธารณสุขต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น