บิดเบือน!!! อังกฤษ ประกาศห้ามคนไทยเข้าประเทศ เนื่องจากไทยเป็น Red List ความเสี่ยงสูงสุด

วันที่ 29 ส.ค. 64 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันว่ามีการตรวจพบ ข่าวบิดเบือน เพิ่มเติม 1 กรณีคือ

กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า อังกฤษ ประกาศห้ามคนไทยเข้าประเทศ เนื่องจากไทยเป็น Red List ความเสี่ยงสูงสุด นั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แล้วยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

กรณีการโพสต์ข้อมูลที่ระบุว่า ประเทศอังกฤษ ห้ามไม่ให้คนไทยเดินทางเข้าประเทศนั้น ทางกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เป็นข้อมูลบิดเบือน อังกฤษปรับสถานะประเทศไทยมาอยู่ในประเทศสีแดง ทำให้ผู้ที่ไม่มีถิ่นพำนัก หรือนักท่องเที่ยวทั่วไปที่เดินทางมาจากประเทศไทย หรือผ่านประเทศไทยในรอบ 10 วันที่ผ่านมา จะไม่สามารถเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรได้ ในขณะที่ผู้ที่มีถิ่นพำนัก คือผู้ที่ไปศึกษาต่อหรือทำงาน ยังสามารถเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรได้ แต่จะต้องกักตัวในโรงแรมที่กำหนดเป็นเวลา 10 วัน โดยมีค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมค่าที่พัก อาหาร และการตรวจหาเชื้อภาคบังคับ 2 ครั้ง ประมาณรายละ 2,000-3,000 ปอนด์ หรือประมาณ 89,000-135,000 บาท

ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกกระทรวงการต่างประเทศ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.mfa.go.th หรือโทร 02 2035000

บทสรุปของเรื่องนี้ : ข้อมูลดังกล่าวถูกบิดเบือน โดยประเทศอังกฤษไม่ได้ห้ามคนไทยเข้าประเทศ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่า บุคคลประเภทไหนสามารถเข้าได้หรือเข้าไม่ได้ และมีข้อปฏิบัติเมื่อเดินทางไปถึง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน 5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ร่วมแสดงความคิดเห็น