จับตาลงมติไม่ไว้วางใจ ชาวบ้านลุ้น…เปลี่ยนแปลงเกมการเมืองไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภา ผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณา “ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล” นั้น จากการสอบถามประชาชนชาวเชียงใหม่ พบว่า ชาวบ้านสนใจ ติดตามรับชมการอภิปราย เนื่องจากมองว่าเป็นการประชุมนัดสำคัญที่จะส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางเกมส์การเมือง ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายบริหารจัดการบ้านเมืองในอนาคตต่อไป

อดีต ส.ส.เชียงใหม่ หลายท่าน ให้ความคิดเห็นว่า เห็นด้วยที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปราย เป็น ช่วงเวลาการบริหารงานที่ยาวนานจะร่วม 8 ปี สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน มาตรการต่างๆ ที่บริหารจัดการ มีทิศทางใดบ้างนั้น เชื่อว่า ภาคเอกชน ประชาชนตระหนักดี ทั้งนี้ปัญหาการจัดการควบคุม ป้องกันโรคโควิด-19 ดูจะเป็นเรื่องที่ สังคมคาดหวัง แนวทางการแก้ไขปัญหา แม้ว่านายกรัฐมนตรี จะชี้แจงว่าทำงานด้วยหลักวิชาการ และสถิติรับฟังข้อเสนอทุกด้าน โปร่งใสไม่มีทุจริต การแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ขณะนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และระบบ สธ. ไม่ได้ล้มเหลว การจัดหาวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ สำหรับวัคซีนแอสตร้าฯ ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะจัดส่งครบ 61 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ และด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหา โดยเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่แก้ไขได้ในอนาคต เร่งเดินหน้าเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ผู้ประกอบการ ธุรกิจที่พัก โรงแรม ในย่านราชมรรคา นครเชียงใหม่ แสดงความคิดเห็นว่า เสถียรภาพทางการเมืองตลอดจนสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ไม่สามารถคาดเดาบทสรุปได้ จะจบช้า จบเร็วเมื่อไหร่ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยวของหัวเมืองต่างๆ ซึ่งรวมถึงเชียงใหม่ด้วย “เป็นที่ทราบกันว่า กิจการ ที่พัก โรงแรม ผู้ประกอบการเทขายสินทรัพย์กันตั้งแต่ ปีแรกๆที่ระบาด พอมีมาตรการล๊อกดาวน์ มีการระบาดเป็นระลอกๆ ส่วนใหญ่เริ่มขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบ บางส่วนอยู่ในขั้นตอน ประนีประนอมหนี้ ยอมที่จะเทขายดีกว่าไม่เหลืออะไร หรือแบกรับหนี้เพิ่มขึ้น ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น ยังมองไม่มีอนาคต หรือ เห็นเค้าลางโอกาสกระเตื้องจากภาคท่องเที่ยวเลย ขนาดภูเก็ต แซนบ๊อกซ์ ยังได้ในระดับที่รู้ๆกัน ดังนั้น ชาร์มมิ่ง เชียงใหม่ หรือ อีเว้นท์นำร่อง 4-5 อำเภอท่องเที่ยว การผลักดันงบดำเนินการหลากรูปแบบ จะเล็งเห็นผลได้มากน้อยเพียงใด ก็น่าจะประเมินได้

อดีตนักการเมืองท้องถิ่นคนดัง และในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จ.เชียงใหม่ มองว่า การลงมติ ในวันพรุ่งนี้ช่วง 10 โมงโดยประมาณ ตามกติกา รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 151 ระบุว่า มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวน ส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมด ปัจจุบันในสภา มี ส.ส. 482 คน ต้องมีคะแนนเสียงไว้วางใจมากกว่า 241 คะแนน ซึ่งถ้ามองฝ่ายรัฐบาลที่มีอยู่ 272 เสียง ในขณะที่ฝ่ายค้านมี 210 เสียงนั้น ไม่มีอะไรแน่นอน ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พรรคพลังประชารัฐมี 119 เสียง ภูมิใจไทย 61 เสียง ประชาธิปัตย์ 48 เสียง ชาติพัฒนา 11 เสียง ที่เหลือเป็นพรรคเล็ก 15 พรรค มีเสียงรวมกัน 32 เสียง โดยฝ่ายค้านมี 210 เสียง ประกอบด้วย
เพื่อไทยจะมี 134 เสียง  ก้าวไกล 53 เสียง เสรีรวมไทย 10 เสียง ประชาชาติ 7 เสียง เพื่อชาติ 5 เสียง พลังปวงชนไทย 1 เสียง

ดังนั้นกระแสการควานหาแรงสนับสนุน ทั้งฝ่ายดึงเกมส์ กับฝ่ายจ้องจะล้มกระดาน ต้องมีผู้ร่วมสนับสนุน ไม่น้อยกว่า 30 เสียง ถือเป็นตัวแปรสำคัญ หากตรวจตัวแปรมีอยู่ 3 กลุ่มหลัก แน่นอนคือ กลุ่มพรรคเล็กที่คาดว่า อาจขยับต่อรอง เงื่อนไขต่างๆ กันอลหม่าน ในวันนี้ และกลุ่มเพื่อนมาร์ค อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ ที่มี 3-4 คน เมื่อบวกรวมกับกลุ่ม ร.อ.ธรรมมนัส อีกน่าติดตามเกมส์นี้ “หากวัดกระแสสังคม รอบด้าน กับมาตรการ แนวทางต่างๆที่ผ่านมาของรัฐฯ ในการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วง 7-8 ปี ร่วมๆ 2 สมัย การจะลากยาวไปอีก 1 วาระ ไม่ใช่วัดใจแค่กลุ่มก๊วนการเมือง ที่จะเลือกผลประโยชน์ จากการหยิบยื่นกล้วย หรือถุงขนมเท่านั้น แต่นักการเมืองระดับชาติ มองเรื่องสนามเลือกตั้งในอนาคต
ทุนรอนที่จะสนับสนุน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ สังคม ที่เป็นไปแบบนี้ ในฐานะนักการเมืองที่คลุกคลีพื้นที่ อยู่กับชาวบ้านมานาน เชื่อมั่นว่า พรุ่งนี้ เปลี่ยนแปลง เกมส์พลิก เพราะสังคมส่วนใหญ่ กำหน มากกว่า ที่กลุ่ม 10 % ที่การจัดอันดับ ความร่ำรวยในประเทศไทยที่พุ่งขึ้นแน่นอน

ร่วมแสดงความคิดเห็น