(มีคลิป) หนุ่มออฟฟิศ สุดช้ำ โดนบริษัทสินเชื่อออนไลน์ส่งข้อความชวนสมัครกู้เงินหลงเชื่อสมัคร ก่อนถูกอ้างเรียกเก็บเงินค้ำประกัน

วันที่ 12 ก.ย. 64 ผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อจาก นายเอ็ม (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ นำหลักฐานเข้าร้องเรียนกรณีที่เจ้าตัวถูกบริษัทสินเชื่อปล่อยกู้ รายหนึ่งที่ส่ง SMS เข้ามาที่เบอร์โทรศัพท์มือถือ ชักชวนให้ตนเกิดความหลงเชื่อสมัครกู้เงินผ่านช่องทางออนไลน์แล้วหลอกให้โอนเงินจำนวน 3,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าค้ำประกัน แต่ต่อมาหลังจากที่ตนได้โอนเงินไปแล้วนั้นทางสินเชื่อกลับบอกว่าตนกรอกเลขบัญชีผิด และให้ตนโอนเงินอีก 9,000 บาท เพื่อทำการแก้ไขข้อมูล ซึ่งตนคิดว่าน่าจะถูกหลอก จึงได้มีการเรียกร้องขอเงินที่โอนไปก่อนหน้านี้คืน และขอยกเลิกการกู้ แต่ทางบริษัทดังกล่าวกลับบอกว่าไม่สามารถยกเลิกได้ พร้อมทั้งยังข่มขู่ว่าจะมีการดำเนินคดีกับตนหากไม่ทำรายการให้สำเร็จหรือไม่มีการยกเลิก ตนจึงตัดสินใจนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันกำแพง ไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้น

โดยทางด้าน นายเอ็ม (นามสมมุติ) เล่าว่า ตนได้รับ SMS ดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น SMS ที่ให้กดเข้าลิงค์ไลน์กลุ่มซึ่งเป็นสินเชื่อเงินกู้ และให้มีการกรอกข้อมูลรายละเอียดผ่านเว็บไซต์เป็นการลงทะเบียนสมัคร พร้อมกับได้มีการให้ตนถ่ายรูปบัตรประชาชน หน้า-หลัง โดยไม่ได้มีการเซ็นต์สำเนาถูกต้องแต่อย่างใด พร้อมกับหลักฐานสมุดบัญชีที่จะให้โอนเงิน ซึ่งตนได้ขอยื่นกู้เงินจำนวน 30,000 บาท แต่ทางสินเชื่อดังกล่าวได้แจ้งให้ตนรอเวลาสักครู่ และหลังจากที่ทางสินเชื่อแจ้งตนมาว่าได้มีการอนุมัติแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ตนโอนเงินค่าค้ำประกัน 10 เปอร์เซ็นต์ โดยทางตนก็หลงเชื่อได้โอนเงินไปให้จำนวน 3,000 บาท แต่ทางเจ้าหน้าที่สินเชื่อกลับแจ้งมาว่าตนกรอกเลขบัญชีผิด ในบัญชีที่ทางบริษัทจะโอนเงินมาให้ตน ซึ่งตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะกรอกเลขบัญชีผิด เพราะได้มีการตรวจทานแล้ว หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่สินเชื่อก็ยังแจ้งมาว่าตนต้องโอนเงินเพิ่มไปอีก 9,000 บาท เพื่อที่จะทำการแก้ไขข้อมูล แล้วหลังจากนั้นจึงจะโอนเงินส่วนที่เหลือกลับมาให้ตนทั้งหมด รวมเป็นเงินที่ตนต้องจ่าย และที่ยืนกู้ไปทั้งหมด 42,000 บาท แต่หลังจากที่ตนโอนเงินไปแล้วจำนวน 3,000 บาท ตนก็คิดว่าการดำเนินการดังกล่าวมีความผิดปกติ จึงได้พยายามขอเรียกเงินที่โอนไปก่อนหน้านี้ 3,000 บาทคืน แต่ทางเจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวกลับแจ้งมาว่าหากตนไม่ทำรายการยกเลิก จะโดนดำเนินการทางคดี ทำให้ตนต้องนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะคิดว่าตนนั้นถูกหลอก

ขณะที่หลังการนำหลักฐานเข้าแจ้งความแล้วนั้น ตนก็ได้มีการตรวจสอบไปยังบริษัทดังกล่าว พร้อมทั้งโทรสอบถามกับทางบริษัท ซึ่งบริษัทนี้มีตัวตนอยู่จริง แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ระบุว่า มีผู้เสียหายในลักษณะของตนโทรศัพท์มาสอบถามกับทางบริษัทจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการแอบอ้างเอาชื่อของบริษัทไปใช้ อีกทั้งทางบริษัทก็ยืนยันว่าไม่มีนโยบายให้ผู้ที่สมัครสินเชื่อโอนเงินในการค้ำประกันแต่อย่างใด นอกจากนี้แล้วจากการตรวจสอบหน้าบัตรประชาชนที่ทางเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ตนได้หลงไปสมัครให้มานั้นยังเป็นบัตรประชาชนที่ได้มีการแอบอ้างนำบัตรประชาชนของบุคคลอื่นมาแอบอ้าง ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่ตนถ่ายส่งไปให้ ขณะเดียวกันตนยังได้มีการเข้าไปตรวจสอบตามเว็บไซต์ต่างๆ ก็พบว่ามีผู้เสียหายหลายรายที่ถูกหลอกในลักษณะดังกล่าวมาโพสต์เตือนไว้ ซึ่งตนอยากแจ้งให้ผู้กู้หรือผู้ที่กำลังจะดำเนินการกู้เงินในลักษณะเช่นนี้ อย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ หรือสินเชื่อในลักษณะเช่นนี้

อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ตนถูกพนักงานสินเชื่อดังกล่าวแจ้งให้ทำการโอนเงินเพิ่มเติม ตนก็ยังได้มีการพูดคุยติดต่อกับทางพนักงานคนนี้อยู่ แม้ว่าจะถูกขู่ว่าหากไม่มีการทำรายการให้เสร็จหรือไม่ดำเนินการโอนเงินมาเพื่อทำการยกเลิกรายการจะถูกดำเนินคดี แต่จากการที่ทางตนได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปปรึกษากับทางทนายความ พบว่า การกู้ยืมทุกครั้งจะไม่มีการโอนเงินค่าค้ำก่อน ซึ่งการกู้ยืมเงินจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทางผู้กู้ยืมได้รับเงินทั้งหมด ซึ่งตนอยากให้เคสกรณีที่เกิดขึ้นกับตนในครั้งนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับประชาชนว่า หากมีการไปกู้ยืมเงินที่ไหนแล้วถูกอ้าง หรือข่มขู่ว่าจะดำเนินคดี หรือเรียกเก็บเงินก่อนการกู้ยืมนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง

นายเอ็ม (นามสมมุติ) บอกอีกว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับตนนั้นเกิดจากการที่ตนต้องการเงินก้อนมาลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งตนคิดว่าในตอนนี้หลายๆ คนก็กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินเช่นกัน และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายคนที่กำลังจะตัดสินใจไปกู้เงินในลักษณะต่างๆ และตนก็อยากทำการกู้ให้เป็นระบบ ไม่อยากไปกู้เงินนอกระบบ จนกระทั่งตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในลักษณะเช่นนี้ ตนจึงอยากเตือนประชาชนที่กำลังจะกู้เงินในลักษณะนี้ให้ระมัดระวังตรวจสอบให้ดี หากมีการเรียกเก็บเงินค้ำก่อนที่จะได้เงินอย่าให้เด็ดขาด และการเรียกเก็บเงินในลักษณะเช่นนี้ทางผู้ให้กู้ก็ไม่สามารถกระทำได้ ซึ่งกระบวนการที่ถูกต้องทางผู้กู้จะต้องได้เงินก่อนเท่านั้น และไม่มีการจ่ายเงินค้ำก่อน

ร่วมแสดงความคิดเห็น