นายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชง พันธุ์ไทยพื้นเมือง 83 สายพันธุ์” โดยมี นพ.เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา ประธานบริษัท ไทยเฮมพ์ เวลเนส จำกัด ดร.เสถียรพงษ์ แก้วสด ประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ ดร.เพิ่มศักดิ์ สุภาพรเหมินทร์ พล.อ.สุทัศน์ จารุมณี ประธานที่ปรึกษามูลนิธิวนเกษตรอินทรีย์ รศ.ดร.ชาตรี มณีโกศล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ นายกรัณย์พล แสงทอง ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน บจก.เซ็ปเป้ และ บจก.วี อีโค ร่วมให้การต้อนรับและเปิดโครงการ พร้อมกันนี้ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร ปลูกต้นกัญชงต้นแรกทั้ง 83 สายพันธุ์ในแปลงวิจัย ที่ ศูนย์วิจัยกัญชง หมู่ที่ 4 ต.ผาบ่อง อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน
ทั้งนี้นายชนก มากพันธุ์ รอง ผวจ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การปลูกกัญชงจะเป็นการยกระดับรายได้ของพี่น้องชาว จ.แม่ฮ่องสอน ให้ดีขึ้น ใน 1 ไร่ จะได้ผลตอบแทนจากการปลูกกัญชงสูงกว่าการปลูกข้าวโพดซึ่งต้องปลูกมากถึง 40 ไร่ นับว่าโครงการนี้เป็นก้าวแรกที่จะทำให้มีการส่งเสริมให้มีการปลูกกัญชงเพื่อลดการบุกรุกทำลายป่าในพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนลง ในการปลูก 1 ไร่ เท่ากับการปลูกข้าวโพด 40 ไร่ ซึ่งหมายความว่าการใช้พื้นที่สำหรับปลูกกัญชงก็จะน้อยลง การบุกรุกทำลายป่าก็จะน้อยลง ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่จะทำให้เห็นการสร้างเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ คือ ทำน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมาก
“โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอน เห็นความสำคัญของโครงการนี้จึงสนับสนุนส่งเสริมให้การการปลูกในพื้นที่ที่มีโครงการปลูกป่าเพื่อสร้างรายได้ โดยวางเป้าหมายที่จะดำเนินการในพื้นที่ คทช. ซึ่งสามารถดำเนินการได้ ซึ่งทางจังหวัดเชื่อว่า คทช. จะเป็นทางรอดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะในพื้นที่ คทช. สามารถดำเนินกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตจากภาครัฐได้ โดยที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ได้มีการอนุญาตในพื้นที่ คทช. ไปแล้วหลายแปลง โดยเฉพาะพื้นที่ภายใต้โครงการหลวงทั้งหมดได้มีการอนุญาตไปแล้ว” รอง ผวจ.แม่ฮ่องสอน กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา ประธานบริษัท ไทยเฮมพ์ เวลเนส จำกัด กล่าวว่า พันธุกรรมและสายพันธุ์กัญชงพื้นเมืองของไทยคือ ทรัพยากรชีวภาพที่มีมูลค่าประเมินไม่ได้ เป็นฐานสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมกัญชงของประเทศ ซึ่งบริษัทได้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในการสร้างมาตรฐานสายพันธุ์กัญชงให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์แต่ละด้าน มีปริมาณสาร THC ตามกฎหมายกำหนด และบริษัทยังกำหนดนโยบายให้กลุ่มเกษตรมีส่วนร่วมในการดูแล และร่วมคัดสายพันธุ์ เพราะจุดกำเนิดของการรวบรวมกัญชงเริ่มต้นขึ้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจะเป็นพื้นที่ในการส่งเสริมการเพาะปลูกต่อไป ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้จากพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ อีกทั้งยังช่วยคืนพื้นที่ป่าที่บริษัทได้มีข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกด้วย
นางสาวปียจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวว่า เซ็ปเป้ ได้เตรียมพร้อมรับเทรนกัญชงโดยได้ลงนามความร่วมมือและบันทึกข้อตกลง (MOA) ร่วมกับ บจก.ไทยเฮมพ์ เวลเนส ในโครงการส่งเสริมการปลูกพืชกัญชง เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังร่วมมือพัฒนาสายพันธุ์กัญชงพันธุ์ไทยพื้นเมือง เพื่อนำ CBD และสารพฤกษเคมีที่เหมาะสมไปใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของ SAPPE คาดว่าหลังจากที่กฎหมายปลดล็อกให้ใช้สารสกัดจากกัญชงแล้ว จะมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ มาเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคมากขึ้น สร้างกระแสให้ตลาดอาหาร-เครื่องดื่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง นอกจากนี้การสนับสนุนและส่งเสริมการปลูกกัญชงยังช่วยสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรและกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย
ทางด้าน นายพีระพล มาวาตาริ ประธานกรรมการ บริษัท วี โค จำกัด กล่าวว่า วี อีโค ได้สนับสนุนและร่วมมือวิจัยพัฒนาสายพันธุ์กัญชงพันธุ์ไทยพื้นเมือง กับ บริษัท ไทยเฮมพ์ เวลเนส จำกัด เพื่อนำสารสกัดไปใช้กับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี อีกทั้ง วีอีโค ยังเป็นบริษัทนำร่องในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และดำเนินธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมตลอดมา กัญชงนับเป็นพืชเศรษฐกิจ หรือขุมทรัพย์สมุนไพร ที่สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิต สร้างความยั่งยืน ฟื้นฟูสู่เศรษฐกิจ สังคม ผืนป่า สิ่งแวดล้อมและองค์กรธุรกิจของไทยได้เป็นอย่างดี พร้อมกับนำร่องโดยการใช้กัญชงและคริปโตเคอร์เรนซี “WE ECO TOKEN” ซึ่งเป็น ยูทิลิตี้พร้อมใช้ อยู่ในระบบ Pancakeswap ที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการของบริษัทเครือข่ายได้อีกด้วย เพราะวัตถุประสงค์ของบริษัททำเพื่อสิ่งแวดล้อมตลอดมา
ร่วมแสดงความคิดเห็น