สพฐ.ประชุม ผอ.เขตฯ รับมือน้ำท่วม-ฉีดวัคซีนนักเรียน-เปิดภาคเรียน 1 พ.ย.

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ผ่านระบบ Video Conference เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสาธารณภัยจากเหตุอุทกภัย จากพายุ “เตี้ยนหมู่” โดยกำชับเน้นย้ำการเฝ้าระวังภัยในช่วงฤดูฝน พร้อมทั้งสำรวจและรายงานความเสียหายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย รวมถึงชี้แจงแนวทางการให้บริการการฉีดวัคซีน Pfizer สำหรับนักเรียนอายุ 12 ปี ขึ้นไป ที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า และหลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 32)

.
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า เรื่องสำคัญที่อยากเน้นย้ำให้ผู้อำนวยการเขตฯ ทำอย่างเร่งด่วนในตอนนี้ คือการดูแลตรวจสอบหลังจากเกิดอุทกภัย ว่ามีความเสียหายในพื้นที่อย่างไรบ้าง หรือมีอะไรที่ต้องปรับปรุงซ่อมแซม และอยากให้ทุกเขตฯ รายงานสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ให้ทาง สพฐ. ได้รับทราบ เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการดูแลช่วยเหลือได้ โดยสามารถใช้ช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อความสะดวกในการส่งรายงาน ซึ่งนอกจากเรื่องของอุทกภัยแล้ว ให้ระวังเรื่องของดินถล่มด้วย หากประเมินสถานการณ์ว่าไม่ปลอดภัย ก็ให้นักเรียนเรียนอยู่ที่บ้านได้
.
ในเรื่องของการฉีดวัคซีนนักเรียน ช่วงระยะเวลานี้อยู่ในระหว่างการสำรวจรายชื่อนักเรียนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีน ซึ่งเราจำเป็นต้องได้รับความประสงค์ฉีดวัคซีนถึง 85% จึงจะทำให้มีความปลอดภัยสูงเพียงพอสำหรับการเปิดเรียนแบบ On Site ซึ่งนอกจาก นักเรียนแล้ว คุณครูก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนถึง 85% เช่นเดียวกัน ดังนั้นต้องติดตามกำกับทั้งนักเรียน คุณครู และบุคลากรในโรงเรียน ให้ได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน โดยต้องประสานกับสาธารณสุขจังหวัด ในการดำเนินการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม เป็นต้นไป ส่วนการให้บริการวัคซีนสำหรับนักเรียนที่เรียนในกรุงเทพฯ แต่กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด นักเรียนสามารถยื่นความประสงค์ขอฉีดวัคซีนนอกเขตบริการได้ และวัคซีนที่จะฉีดให้นักเรียนมีตัวเดียวคือไฟเซอร์ ดังนั้นขอให้โรงเรียนทำความเข้าใจกับผู้ปกครองในส่วนนี้

นอกจากนี้ หากมีจังหวัดใดที่เกิดเหตุน้ำท่วม แล้วสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายภายในวันที่ 4 ต.ค. ขอให้ทางเขตฯวางแผนการฉีดวัคซีนร่วมกับศึกษาธิการจังหวัดและสาธารณสุขจังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมกับรณรงค์ให้คำแนะนำนักเรียนว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้ว นักเรียนต้องปฏิบัติตนอย่างไร หรือต้องมีการเตรียมตัวก่อนฉีดอย่างไร จึงจะทำให้การฉีดวัคซีนบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่เราตั้งใจไว้ ซึ่งตอนนี้กระแสสังคมเรียกร้องการเปิดเรียนแบบ On Site อย่างมาก การฉีดวัคซีนจึงถือเป็นเงื่อนไขสำคัญ ในการช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ดังนั้นคนที่มีความสำคัญกับเด็กมากที่สุดคือครูประจำชั้นและครูที่ปรึกษา ที่จะให้คำแนะนำกับนักเรียนได้ดีที่สุด ด้วยความร่วมมือกับผู้ปกครองของนักเรียน

สำหรับการเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 พ.ย. ในขณะนี้เป็นที่แน่นอนว่า เราจะไม่เลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 2 โดยจะเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 พ.ย. อย่างไรก็ตาม ขอให้ ผอ.เขตทุกเขต ทำตารางเวลาสำหรับการเตรียมพร้อมเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 พ.ย. ว่าจะมีขั้นตอนกระบวนการในการเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง เช่น สัปดาห์ที่ 1 วางแผนว่าจะทำอะไรบ้าง และสัปดาห์ต่อๆ ไปจะทำอะไร โดยจะเชื่อมโยงกับแผนการฉีดวัคซีน พร้อมกับการยื่นขออนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ซึ่งเชื่อว่าทุกคนมีแผนอยู่แล้ว แต่อยากให้เขียนออกมาให้ชัดเจนว่า โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ของเราจะสามารถเปิดเรียนได้กี่โรงเรียน

.
โดยการเปิดเรียนในเดือน พ.ย.นี้ มีโรงเรียน 2 แบบ คือ โรงเรียนพักนอน ซึ่งเด็กกับครูอยู่ในโรงเรียนทั้งหมด ให้ดำเนินการในลักษณะของโรงเรียน sandbox แบบ 100% ส่วนแบบที่ 2 คือ โรงเรียนไป-กลับ จะต้องใช้จำนวนการฉีดวัคซีนเป็นตัวตั้ง ซึ่งกำหนดไว้อยู่ที่ 85% ทั้งในส่วนของนักเรียน ครู และบุคลากร รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายของในโรงเรียนด้วย แต่ในส่วนของโรงเรียนระดับประถมศึกษา จากข้อมูลการวิจัยพบว่าเด็กอนุบาลถึงระดับประถมศึกษา มีโอกาสยากมากที่จะติดเชื้อแล้วเกิดอาการร้ายแรง ดังนั้นการเปิดเรียนของเด็กชั้นอนุบาลและประถมศึกษา จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของการฉีดวัคซีนให้ถึง 85% แต่จะเป็นเงื่อนไขด้านความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง จึงขอให้ทางโรงเรียนทำการประเมินตนเองและวางแผนการเปิดได้เลย.
“ในวันนี้เมื่อสถานการณ์โควิด-19 มาถึง มีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นหลายอย่าง รวมถึงการที่มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา เมื่อมีคำถามจากสังคมว่าเราจะมีวิธีการดูแลช่วยเหลือเยียวยาเด็กเหล่านั้นอย่างไร จึงต้องไปดูเรื่องการจ่ายเงินเยียวยา 2,000 บาท ซึ่งการจ่ายเงินตรงนี้ จะสามารถประเมินได้ว่านักเรียนมีชื่อในทะเบียนหรือไม่ หรือหากจัดสรรไปแล้วหาตัวเด็กไม่เจอ ก็จะพบเด็กที่หายไปจากระบบ รวมถึงเด็กที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนแต่ไม่เคยมาโรงเรียน ก็จะเป็นข้อมูลให้ ผอ.โรงเรียน หรือครูประจำชั้นได้ทำการสำรวจและประเมินความเสี่ยงของนักเรียน ว่ามีเด็กกี่คนที่อยู่ในกลุ่มปลอดภัยสามารถมาเรียนได้ปกติ มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี หรือมีเด็กกี่คนที่อยู่ในความยากลำบาก ต้องได้รับการช่วยเหลือจึงจะสามารถมาเรียนได้ และมีอีกกี่คนที่อยู่ในห้วงอันตรายต้องได้รับการเข้าไปแก้ไขโดยเร่งด่วน ซึ่งเราสามารถช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างหลากหลายวิธี โดยการร่วมมือกันของทุกฝ่าย” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
ที่มา ประชาสัมพันธ์ สพฐ.

ร่วมแสดงความคิดเห็น