(มีคลิป) ตำรวจเร่งสืบขยายผล แก๊งตบทรัพย์บนถนน หารถเก๋งร่วมขบวนการ แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมให้การซัดทอด

ตำรวจเร่งสืบขยายผลแก๊งตบทรัพย์บนถนน หารถเก๋งร่วมขบวนการ หลังผู้เสียหายหลายรายระบุ แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมให้การซัดทอด ขณะที่สาวเจ้าของคลิปแจ้ง ตร.เข้าล็อกตัวเปิดใจ เชื่อมีผู้ร่วมขบวนการไม่ต่ำกว่า 2 คน

วันที่ 2 ต.ค. 64 รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีการจับกุมตัว นายกลวัชร (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ชาว จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งค์ตบทรัพย์ ออกลาละวาดก่อเหตุบริเวณทางหลวงหมายเลข 118 ถนนสาย เชียงใหม่-เชียงราย (ขาออก) ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ พร้อมของกลางรถยนต์กระบะ โตโยต้า สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียนแพร่ และพบว่าหลังการจับกุม ได้มีกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมาก ต่างพากันเดินทางเข้าชี้ตัว และดูรถของกลางที่เคยเป็นคู่กรณี ในเหตุเฉี่ยวชนตามถนนสายต่างๆ ซึ่งทางผู้เสียหายต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งนอกจากนี้ ยังบอกอีกว่าการลงมือก่อเหตุของแก๊งนี้ น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2 คน เนื่องจากผู้เสียหายทุกรายต่างเล่าว่า ในการก่อเหตุของแก๊งนี้ จะมีรถยนต์เก๋งอีกคันขับขวางด้านหน้ารถของตัวเอง เพื่อบีบให้ขับเบี่ยงแซง จากนั้นรถยนต์กระบะของผู้ต้องหาจึงจะขับเร่งขึ้นมาเพื่อให้เกิดเฉี่ยวชน

ขณะที่ล่าสุดทาง พ.ต.อ.ธงชัย กรรณิกา ผกก.สภ.ดอยสะเก็ด ได้นำตัว นายกลวัชร (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ชาว จ.นนทบุรี มาทำการสอบสวนอีกครั้งถึงข้อเท็จจริงกรณีการก่อเหตุ ซึ่งทางด้านผู้ต้องหานั้นยอมรับสารภาพว่าก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง แต่อ้างว่าทำเองเพียงลำพัง รวมไปถึงคดีเคสล่าสุดที่ถูกจับกุมในวันเกิดเหตุ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 29 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา และเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถามถึงผู้ร่วมขบวนการ นายกลวัชร ก็ยังคงให้การปฏิเสธและไม่ให้การซัดทอดผู้ร่วมขบวนการ ตามที่มีกลุ่มผู้เสียหายหลายรายระบุว่าเป็นรถเก๋งที่ขับนำหน้า และยังคงยืนกรานว่าได้ทำเองเพียงลำพัง แต่อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อ และกำลังดำเนินการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับคดีนี

ขณะที่ทางด้าน น.ส.กระแต (นามสมมติ) สาวผู้เสียหาย เผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา ที่ทางผู้ต้องหาลงมือก่อเหตุ และได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ ซึ่งทางผู้ต้องหาได้ลงมือก่อเหตุในระหว่างที่ทาง พ่อแม่และน้าของตน ใช้รถกระบะเดินทางกลับจากโรงพยาบสวนปรุง มุ่งหน้ากลับ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดนขับรถมาตามปกติ ประมาณ 60 กม./ชม. กระทั่งต่อมาแม่และน้าโทรศัพท์มาบอกว่า รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ และคู่กรณีที่ขับกระบะมาชน ขับไล่ตามและบอกให้จอดรถลงไปเคลียร์และโวยวาย บอกว่ารถของพ่อแม่ชนแล้วหนี เมื่อแม่ลงรถไปดูพบว่าร่องรอยการเสียหายของรถคู่กรณีที่มาชนท้ายเสียหายมากเกินปกติ เหมือนเป็นรอยชนเก่า และคู่กรณีพยายามเรียกค่าเสียหาย อ้างว่ารถของเขามีประกันชั้น 1 และโทรหาประกันแล้ว ประเมินค่าเสียหาย 25,000 บาท พร้อมกับเรียกเงิน จำนวน 5,000 บาท เพื่อให้จบเรื่อง

เมื่อทราบเรื่องตนเองจึงบอกให้เจรจาถ่วงเวลาคนร้ายไว้ก่อน ระหว่างนั้นได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ สภ.ดอยสะเก็ด พร้อมส่งโลเคชั่นไปให้ หลังจากถ่วงเวลาราวครึ่งชั่วโมง คนร้ายเริ่มไหวตัวและบอกว่าไม่เอาเงินแล้ว แต่ขอให้ลบภาพและคลิปที่น้าถ่ายไว้ และห้ามนำเรื่องไปบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับขึ้นรถพยายามจะหลบหนี แต่พ่อไปยืนขวางเอาไว้ เป็นจังหวะที่ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพอดีและเข้าจับกุมได้ทัน

น.ส.กระแต (นามสมมติ) ยังบอกว่า หากตำรวจมาช้ากว่านี้ พ่อของตนอาจถูกชนหรืออาจถูกทำร้ายได้ ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานรวดเร็วจนจับกุมคนร้ายได้ ทั้งนี้ฝากตือนภัยบนท้องถนน หากเจอเหตุการณ์แบบนี้ต้องมีสติ หากไปคนเดียวต้องหนีจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด และแจ้งตำรวจ หากจำเป็นต้องจอดรถให้ไปจอดที่มีผู้คนจำนวนมาก เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือเราได้ หรือเบื้องต้นอย่าจ่ายเงินให้คนร้ายเด็ดขาด จะได้ไม่เสียท่าคนร้าย

หลังถูกจับตำรวจตรวจสอบรถกระบะที่ผู้เสียหายที่ใช้ก่อเหตุ พบมีร่องรอยการเฉี่ยวชนหนักบริเวณหน้ารถด้านซ้าย โดยพบว่าติดแผ่นป้ายทะเบียนเฉพาะด้านหน้ารถ ตรวจสอบภายในรถยังพบแผ่นป้ายทะเบียนมหาสารคาม จำนวน 2 แผ่น คาดว่าใช้ในการก่อเหตุ

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นนี้ ทางด้าน พ.ต.อ.ธงชัย กรรณิกา ผกก. สภ.ดอยสะเก็ด ได้เปิดเผยกับทางผู้สื่อข่าวว่า เกี่ยวกับกรณีแก๊งตบทรัพย์ลักษณะนี้ เคยเกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.ดอยสะเก็ด มาแล้วในช่วงเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยลักษณะพฤติการณ์ของการก่อเหตุของกลุ่มนี้ จะขับรถมา 2 คัน โดยคันหนึ่งจะขับเบียดหรือจี้ท้าย แล้วเมื่อผู้เสียหายเห็นว่ามีรถจี้ตามท้ายมา ก็จะถูกบีบให้ขับออกซ้ายเพื่อหลบให้ ส่วนอีกคันจะมาทางตรง แล้วจะเป็นลักษณะเฉี่ยวชน เมื่อเกิดการชนกันแล้วจึงมีการลงมาเจรจากัน

โดยทางกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวนี้ ก็จะอ้างไม่ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะมีการขอให้เคลียร์กันเอง พร้อมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายแล้วแต่จะเรียกได้ โดยหลังเกิดเหตุในช่วงเดือนกรกฎาคมนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการสืบสวนขยายผลเรื่อยมา จนกระทั่งภายหลังก็ทราบมาว่า มีเหตุลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั้ง สันทราย ,หางดง ,สันกำแพง และอีกหลายๆ ที่ ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชื่อแน่ว่า น่าจะมีกลุ่มขบวนการดังกล่าวตระเวนก่อเหตุ

จนกระทั่งเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอยสะเก็ด ได้รับแจ้งจากประชาชนว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. มีเหตุกรณีรถเฉี่ยวชนกัน และได้มีการเจรจากันในลักษณะที่เข้าข่ายว่าจะเป็นแก๊งตบทรัพย์ที่ออกอาละวาดในพื้นที่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และเมื่อไปถึงก็พบกับ นายกลวัชร (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ชาว จ.นนทบุรี ที่กำลังจะวิ่งขึ้นรถที่ติดเครื่องไว้เพื่อขับหลบหนี แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าล็อกตัวไว้ได้ทัน และหลังจากนำตัวมาสอบสวนทราบว่าผู้ต้องหามีภูมิลำเนาเดิมเป็นคนร้อยเอ็ด

นอกจากนี้จากการสืบสวนขยายผลป้ายทะเบียน ที่ติดกับรถยนต์ของผู้ต้องหาหมายเลขทะเบียนแพร่ ส่วนรถที่ใช้ก่อเหตุคือรถยนต์กระบะ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ซึ่งเป็นคันเดียวกันกับที่ผู้เสียหายรายหนึ่ง แจ้งเกิดเหตุในช่วงเดือนกรกฎาคม และจากตอนนั้นที่เกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้สืบสวน ตรวจสอบหมายเลขป้ายทะเบียน พบเจ้าของหมายเลขทะเบียนแจ้งว่า รถตัวเองยังอยู่ที่จ.แพร่ และป้ายทะเบียนดังกล่าว ก็ไม่ใช่ป้ายทะเบียนที่แท้จริงของรถของผู้ต้องหา ซึ่งแสดงว่าทางผู้ต้องหานั้น ได้นำป้ายทะเบียนคันอื่นมาสวมใส่ โดยตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กำลังตรวจสอบ หาป้ายทะเบียนที่แท้จริงของรถคันก่อเหตุอยู่

ผกก. สภ.ดอยสะเก็ด บอกอีกว่า จากการสอบสวนทางผู้ต้องหาในตอนนี้ ได้ให้การว่า ได้ก่อเหตุในหลายท้องที่และตามท้องที่ที่กล่าวมา แต่ทางเจ้าตัวยังไม่ยอมให้การซัดทอดถึงเพื่อน หรือผู้ที่มาร่วมขบวนการ และบอกเพียงแค่ชื่อเล่น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็กำลังดำเนินการสืบสวนขยายผล อย่างไรก็ตามในตอนนี้ยังไม่ทราบว่ากลุ่มผู้ร่วมขบวนการนั้นมีกี่คน แต่มั่นใจว่าในแต่ละครั้งที่ก่อเหตุแก๊งนี้ น่าจะมีกันประมาณ 1-2 คน รวมไปถึงในแต่ละครั้งที่ก่อเหตุ หรือแต่ละเคสก็ยังไม่ทราบว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่ โดยการก่อเหตุนั้นทางกลุ่มผู้ก่อเหตุมักจะลงมือกับกลุ่มผู้เสียหายที่เป็น คนสูงอายุ ,ผู้หญิง รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่เกรงกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี เนื่องจากทางกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้นจะอ้างว่าไม่ให้แจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะเรียกค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 และ 4,000 บาท แล้วแต่ว่าจะเรียกได้มากน้อยเพียงใด และเจรจากับผู้เสียหาย โดยในเคสของผู้เสียหายที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนั้น ทราบว่าผู้เสียหายขับรถมาสด้าสีแดง ถูกกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้เรียกค่าเสียหายไปจำนวน 500 บาท

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทาง สภ.ดอยสะเก็ด ก็ได้มีการประสานงานกับทางสถานีตำรวจอื่นๆ ในหลายพื้นที่ ที่ทราบว่ามีเหตุในลักษณะนี้ เพื่อให้ทางผู้เสียหายเดินทางเข้ามาตรวจสอบว่า เป็นรถคันเดียวกันกับที่เจอหรือไม่ รวมทั้งบุคคลที่ถูกจับกุม ส่วนของจังหวัดใกล้เคียง หรือทางผู้เสียหาย หากสงสัยว่าเคยถูกก่อเหตุในลักษณะนี้ ก็สามารถเดินทางมาตรวจสอบได้ และหากเป็นรายเดียวกัน ก็ให้ทางผู้เสียหายดำเนินการเข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ แล้วมาดูตัวและของกลาง เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา และอยากฝากเตือนกับทางประชาชน รวมทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเขต จ.เชียงใหม่ และท้องที่จังหวัดอื่นๆ ด้วยว่า หากเกิดเหตุในลักษณะเช่นนี้ขอให้โทรแจ้งประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอันดับแรก เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตรวจสอบว่า เป็นกรณีการก่อเหตุตบทรัพย์ในลักษณะของกลุ่มมิจฉาชีพรายนี้หรือไม่

ร่วมแสดงความคิดเห็น