การปราบปรามการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (1 – 13 ตุลาคม 2564)

วันที่ 14 ตุลาคม 2564 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 154 ศูนย์เสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้

ตามที่รัฐบาล ได้มีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานด้านความมั่นคง โดยบูรณาการหน่วยงานที่มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และสกัดกั้นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ

ประกอบกับที่รัฐบาลได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร โดยมีข้อกำหนดตามกรอบพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้พิจารณาให้ระงับการใช้ช่องทางการเข้าออกประเทศในทุกพื้นที่ที่มีเขตติดต่อชายแดน เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิ-19 มาจนถึงปัจจุบัน นั้น

ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพภาคที่ 3 ได้กำชับให้ทุกหน่วยที่มีพื้นที่ตามแนวชายแดน ได้เฝ้าระวังการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายของกลุ่มแรงงานต่างด้าว รวมไปถึงคนไทยที่ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน และลักลอบกลับเข้ามาในประเทศไทย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างจริงจัง โดยมีผลการจับกุม, ผลการดำเนินคดี และการเร่งรัดการดำเนินคดีตามกฎหมาย โดย ศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพภาคที่ 3, กองกำลังนเรศวร และกองกำลังผาเมือง ได้ร่วมกับทุกภาคส่วน ในห้วงวันที่ 1 – 13 ตุลาคม 2564 จำนวน 190 คน มีรายละเอียดดังนี้

  1. กองกำลังนเรศวร : จับกุม 9 ครั้ง จำนวน 112 คน
  2. กองกำลังผาเมือง : จับกุม 4 ครั้ง จำนวน 78 คน

รวมทั้งได้สั่งการให้กองกำลังนเรศวร และกองกำลังผาเมือง ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่จังหวัดตาก, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่ และเชียงราย ได้เพิ่มมาตรการอย่างเข้มงวดในการสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ประกอบด้วย

  1. เพิ่มความเข้มงวดในการสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ที่รับผิดชอบ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เหมือนที่ปฏิบัติในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในทุกๆ พื้นที่
  2. บูรณาการกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประสานไปยังประเทศเมียนมา ผ่านคณะกรรมชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) ในการให้ความร่วมมือในการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าว รวมไปถึงคนไทยที่ไปทำงานในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านและลักลอบกลับเข้ามาในประเทศไทย
  3. เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวนเฝ้าตรวจตามช่องทาง/ท่าข้ามที่ล่อแหลม และการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดตามเส้นทางตามแนวชายแดน ไทย – เมียนมา รวมทั้งความเข้มงวดในการตรวจบุคคลและยานพาหนะ บริเวณจุดตรวจ/ด่านตรวจและจุดสกัดกั้น และเส้นทางอ้อมผ่านจุดตรวจ/ด่านตรวจฯ เพื่อสกัดกั้นและป้องกันการลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างด้าว หลังพบว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ในรัฐต่างๆ ของเมียนมา
  4. จัดชุดปฏิบัติการ รวมทั้งชุดแพทย์ทหาร ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ไปตามหมู่บ้านและชุมชน ให้คอยเฝ้าระวังสอดส่องหากพบบุคคลต้องสงสัยให้รีบแจ้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ หรือแจ้งศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ทางสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
  5. การติดตั้งไฟส่องสว่างในช่องทางที่ล่อแหลม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
  6. การทำเครื่องกีดขวางและปรับปรุงลวดหนาม บริเวณช่องทาง/ท่าข้ามตามธรรมชาติ
  7. ประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง, หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ และผู้นำชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วม ในการเพิ่มมาตรการในการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าว, ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ทั้งการแจ้งเบาะแส, การกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวมถึงการสร้างการรับรู้ เข้าใจ และรับทราบข้อมูลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการนำพาแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ขอความกรุณาได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในการปราบปรามและการสกัดกั้นอย่างเป็นรูปธรรมตามกฎหมาย อีกทั้งหากพี่น้องประชาชนมีความประสงค์จะส่งข้อมูล การลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าวโดยตรง ให้กับ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบ Applications Line ชื่อ “สายตรงแม่ทัพภาคที่ 3” ID Line : ISOC3 เพื่อรับทราบข้อมูลและนำไปสู่การปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย สร้างความมั่นคงให้สังคมไทยสืบไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น