(มีคลิป) อธิบดีกรมฝนหลวงห่วงปริมาณน้ำต้นทุน 2 เขื่อนใหญ่ภาคเหนือต่ำกว่าเป้า ลงพื้นที่เร่งรัด ติดตามปฏิบัติการเติมน้ำต้นทุนเขื่อนแม่กวง-ภูมิพล โค้งสุดท้ายปี 64 หวังสำรองไว้เป็นน้ำต้นทุน ช่วงฤดูแล้งปีหน้า

วันที่ 26 ตุลาคม 2564 ที่ศูนย์ปฎิบัตืการฝนหลวงภาคเหนือ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายสำเริง แสงภู่วงค์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการปฏิบัติการฝนหลวงและการเติมน้ำต้นทุนให้กับเขื่อน/อ่างเก็บน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ  จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธารา ต.ลวงเหนือ อ.ดอยสะเก็ด

โดยมีนายรังสรรค์  บุศย์เมือง ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือจ.เชียงใหม่ และนายอัธยา อรรณพเพ็ชร ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่กวงอุดมธารา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง

นายสำเริง  กล่าวว่า ปัจจุบันหลายพื้นที่ของภาคเหนือจะมีฝนตกอย่างหนักผนวกกับศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ได้ออกปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เขื่อน/อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่จังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณเพียงพอต่อ

การช่วยเหลือพื้นที่ภาคเกษตร แต่กรมฝนหลวงฯ ยังคงต้องเดินหน้าออกปฏิบัติการทำฝนหลวงไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ โดยเน้นชี้เป้าเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ำ หรือเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้กับ 2 เขื่อนใหญ่หลักๆ คือ   เขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ และเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ซึ่งปัจจุบันยังมีปริมาณน้ำต้นทุนต่ำกว่าเกณฑ์ เพื่อสำรองไว้เป็นน้ำต้นทุนในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2565 โดยสถานการณ์น้ำในเขื่อนแม่กวงฯ ณ วันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำในอ่าง 68 ล้าน ลบ.ม.หรือ 25.88% ของความจุ มีน้ำใช้การได้
54 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งถือว่าปริมาณน้ำต้นทุนยัง
อยู่ในเกณฑ์ต่ำอยู่มาก

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลดำเนินงานปฏิบัติการทำฝนหลวงของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือมีแผนปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ประจำปี 2564 ที่ผ่านมานั้น รับผิดชอบดูแลพื้นที่การเกษตร
7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พะเยา ตาก โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ 1. พื้นที่ลุ่มรับน้ำเขื่อนภูมิพล 2. เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล 3. เขื่อนแม่กวงอุดมธารา 4. เขื่อนกิ่วลม 5.เขื่อนกิ่วคอหมา และ 6. เขื่อนแม่มอก โดยผลปฏิบัติการระหว่างวันที่ 1 ก.พ. – 24 ต.ค. ที่ผ่านมา หน่วยปฏิบัติการฯ เชียงใหม่ทำการบิน 142 วัน ส่วนหน่วยปฏิบัติการฯ ตาก ทำการบิน 110 วัน รวม 706 เที่ยวบิน ช่วยเหลือครอบคลุมในพื้นที่เชียงใหม่ ตาก ลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงรายและแม่ฮ่องสอน ส่วนผลปฏิบัติการฝนหลวงการช่วยเหลือพื้นที่เกษตรที่ประสบภัยแล้ง พบว่าบริเวณที่มีฝนตก 10 จังหวัด 76 อำเภอ คือเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา  ตาก แม่ฮ่องสอน แพร่ กำแพงเพชร และสุโขทัย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากการบินสำรวจพื้นที่การเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ช่วงกลางเดือนตุลาคม
ที่ผ่านมา พบว่าในพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ อ.แม่ริม อ.แม่แตง อ.ไชยปราการ อ.พร้าว อ.เชียงดาว ข้าวระยะเริ่มแก่และมีบางส่วนเริ่มเก็บเกี่ยวได้แล้ว ส่วนพื้นที่ที่ปลูกข้าวโพด มีทั้งเริ่มออกดอกและเริ่มแก่และมีหลายพื้นที่ปลูกมันฝรั่งและลำไย ใบเขียวสด และเริ่มมีการตัดแต่งกิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ส่วนผลปฏิบัติการฝนหลวงการเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนขนาดใหญ่ 6 แห่ง ในพื้นที่ภาคเหนือ ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนกิ่วลม เขื่อนกิ่วคอหมาและเขื่อนแม่มอก   ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนรวม 301.55 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลให้ปัจจุบันเขื่อนทั้ง 6 แห่งมีปริมาตรน้ำในเขื่อน
รวม 8,238 ล้าน ลบ.ม.

นายสำเริง กล่าวถึงแผนการปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ปี 2565 ว่า  แบ่งเป็น 4 ช่วง ช่วงที่ 1 (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน) จะเน้นแผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า(ลดความหนาแน่นของหมอกควัน และลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 รวมทั้งการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่าไม้) ช่วงที่2 (ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) เน้นแผนการยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ (บรรเทาและลดความเสียหายจากการเกิดพายุลูกเห็บในพื้นที่การเกษตร) ช่วงที่3 (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-กันยายน) เน้นแผนการป้องกันและแก้ไขภัยแล้ง (สร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่าไม้ และเพิ่มปริมาณน้ำฝนในพื้นที่เกษตรกรรม) และช่วงที่ 4 (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม) เน้นแผนการเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ำ(เพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้กับเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อสำรองไว้เป็นนำต้นทุนในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง)


นอกจากนี้ กรมฝนหลวงฯ ยังมีแผนพัฒนาปฏิบัติการฝนหลวงให้ทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยการผลักดันโครงการวิจัยและพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพ่นสารจากพื้นสู่ก้อนเมฆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวงสำหรับพื้นที่เขตเงาฝนบริเวณภาคเหนือของประเทศอีกด้วย เนื่องจากเห็นว่าพื้นที่ภาคเหนือมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแนวเขาสูงทอดตัวยาวในแนวเหนือใต้ปกคลุมเป็นส่วนมากจึงทำให้เกิดเขตเงาฝนซึ่งได้รับปริมาณฝนค่อนข้างน้อยและไม่เพียงพอต่อกิจกรรมด้านการเกษตร ประกอบกับการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เขตเงาฝนในบางครั้งอากาศยานไม่สามารถ
บินทำงานกับกลุ่มเมฆที่กำลังก่อตัวอยู่ในพื้นที่ได้เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันมีการใช้งานอยู่ในหลายประเทศ

ด้านนายอัธยา อรรณพเพ็ชร  กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเขื่อนมีพื้นที่รับน้ำฝนเหนือเขื่อน 569 ตารางกิโลเมตร ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,250 มม./ปี ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 250 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี สามารถจุน้ำได้ 263 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อกักเก็บน้ำสำหรับการเกษตร และป้องกันน้ำท่วมสองฝั่งของลำน้ำแม่กวง เขต อ.ดอยสะเก็ด อ.สันกำแพ อ.สารภี และ อ.ป่าซาง อ.เมืองลำพูน ทั้งนี้ ด้วยลักษณะลุ่มน้ำของเขื่อนที่มีขนาดเล็ก แต่ปริมาณความต้องการใช้น้ำในพื้นที่รับประโยชน์จากเขื่อนมีปริมาณมาก ช่วงที่ผ่านมา ปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนมีค่อนข้างน้อย จำเป็นต้องมีการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝนที่ตกลงสู่พื้นที่ลุ่มรับน้ำเขื่อน สำหรับเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนดังกล่าว สำหรับกิจกรรมทางการเกษตรมากขึ้น

ร่วมแสดงความคิดเห็น