เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.30 น. ที่ หอประชุมโรงเรียนปัว อ.ปัว จ.น่าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการสร้างการรับรู้นโยบายพืชกระท่อมสู่เศรษฐกิจชุมชน พร้อมด้วยนายนิวัฒน์ งามธุระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน , พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัยผู้บัญชาตำรวจภูธรภาค 5 , พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวะสมิตตระกูลผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดน่าน , นายวิศิษฐ์ ทวีสิงห์ ปลัดจังหวัดน่าน , นายสมเกียรติ อาจสังข์ นายอำเภอปัว , นายชำนาญ บุดาสา พัฒนาการจังหวัดน่าน , นายประกวด พายัพสถาน ผู้อำนวยการโรงเรียนปัว และนายดร งามธุระ
หลังจาก ช่วงเช้าที่ผ่านมา ป.ป.ส. สนธิกำลัง ร่วมกันกวาดล้างยาเสพติดและอาชญากรรมในจังหวัดน่าน กว่า 100 เป้าหมาย ซึ่งจับกุมผู้กระทำความผิดคดียาเสพติด จำนวน 92 คน พร้อมของกลางยาเสพติด อีกจำนวนสิบ 10 ล้านบาท การกวาดล้างยาเสพติดนั้น รัฐบาลได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ต้องการให้ลูกหลานของท่านถูกชักจูงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งผู้เสพและผู้ขาย ก่อนหน้านี้ ในการแถลงผลงานยาเสพติดได้ประกาศไปแล้วว่าจะยึดทรัพย์สินนักค้ายาเสพติดให้ได้ 1 หมื่นล้านบาท เวลานี้ก็ได้เครื่องมือที่เป็นกฎหมายสำคัญ คือ ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 โดยกฎหมายฉบับนี้อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่าต้องการที่จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดโดยใช้วิธีการยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด ซึ่งผมไม่นิยมการฆ่าตัดตอนอย่างในอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่ผมอยากเตือนกับประชาชนให้ต้องระมัดระวัง อย่าไปรับจ้างเปิดบัญชี หรือรับจ้างเปิดเบอร์โทรศัพท์ให้ใครเพราะท่านอาจมีความผิดโดยไม่รู้ตัวเพราะกลุ่มคนเหล่านั้น อาจนำชื่อของท่านไปทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งจะทำให้ท่านมีโทษทั้งจำและปรับ คือจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ในวันนี้จึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาเป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานรัฐ แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับผู้ค้ายาเสพติด เพื่อนำไปสู่การยึดทรัพย์สิน และถ้าหากยึดทรัพย์สินได้ พี่น้องประชาชนที่แจ้งเบาะแสจะมีส่วนแบ่งซึ่งเป็นเงินประมาณ 250 ล้านบาท เป็นรางวัลในการร่วมมืออีกด้วย ซึ่งถือได้ว่า เป็นกฎหมายของประชาชน นั่นก็คือ การถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภท 5 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลายคนก็บอกว่าเป็นการแก้ไขเพื่อพี่น้องชาวปักษ์ใต้ แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เจตนาของผมในการปลดล็อกพืชกระท่อม ผมอยากให้พี่น้องทั่วประเทศ ได้รับประโยชน์ ซึ่งเวลานี้ ก็เป็นที่สนใจของเกษตรกรทั่วประเทศ เพราะเริ่มมีการเพาะปลูก พัฒนาจนใบกระท่อมที่ถูกกฎหมาย สามารถนำมาขายได้กิโลละหลายร้อยบาทจากนี้ไป จะเดินหน้าส่งเสริมให้มีการศึกษาและวิจัยเพื่อ ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ พัฒนา และส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจบนฐานชุมชน ในการสร้างการรับรู้นโยบายพืชกระท่อมสู่เศรษฐกิจชุมชนในครั้งด้วย
ร่วมแสดงความคิดเห็น