ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์ ลวงคนไทยไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน

ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์ลวงคนไทยไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน สุดท้ายบังคับให้เป็น Scammer หลอกเอาเงินประชาชน

เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (13 พ.ย. 64) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผบก.ภ.จ.เชียงราย และ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้ร่วมกันแถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ามนุษย์ ลักลอบพาคนชาวไทย ไปบังคับใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน

โดยการจับกุมตัวผู้ต้องหา เป็นหญิงไทย อายุประมาณ 25 ปี ชาว จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาล จ.เชียงราย ที่ 212/2564 ลง 11 พฤศจิกายน 2564 โดยถูกจับกุมตัวที่ ต.กุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในความผิดฐาน “ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป หรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม เพื่อกระทำการค้ามนุษย์แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ จากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการฯ” อัน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และ พ.ร.บ.ป้องกัน และปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556

ทั้งนี้ทาง พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า ในการจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งข้อ มูลว่ามีชายไทยติดต่อขอความช่วยเหลือและกำลังติดอยู่ที่ประเทศลาวไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้และถูกบังคับให้ทำงานเกี่ยวกับ Scammer (หลอกลวงคนไทยในประเทศไทยให้ลงทุนหรือโอนเงินให้บริษัท) เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบเข้าทำการช่วยเหลือ และคุ้มครองชายไทยดังกล่าวไว้ได้

จากนั้นได้ทำการสืบสวนเรื่อยมา จนกระทั่งทราบว่า มีกลุ่มขบวนการชาวไทยและต่างประเทศ คอยทำหน้าที่จัดหา ชักชวน หลอกลวง คนไทยให้ไป ทำงานยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว เมียนมา กัมพูชาโดยจะหลอกลวงว่า เป็นงานเกี่ยวกับการใช้ระบบอินเตอร์เน็ต มีหน้าที่คอยช่วยบริษัทในการลงทุน ในตลาดหุ้น หรือ Crytocurrency พร้อมกับหลอกลวงว่าจะได้รับรายได้สูง จากนั้นจะนัดหมายให้คนไทยที่สนใจไปทำงาน เตรียมตัวเดินทางข้ามชายแดน แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 จุดผ่านตามแนวชายแดนจึงยังไม่เปิดตามปกติ คนร้ายจึงแอบติดต่อกับขบวนการลักลอบพาคนข้ามประเทศแบบผิดกฎหมายอาศัยช่องทางธรรมชาติต่างๆ โดยแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ภายในประเทศไทย จนกระทั่งถึงอาคารที่พัก หรือที่ทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน

จากนั้นเมื่อคนไทยที่ถูกหลอกให้มาทำงานแล้ว จะถูกบังคับให้ ทำงานเกี่ยวกับ ระบบ Scammer โดยให้มีการสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาแล้ว พยายามติดต่อไปยังคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย พูดคุยผ่านแอพพลิเคชั่น ต่างๆ หลอกลวงให้หลงเชื่อเพื่อให้ทำการมาลงทุนหรือโอนเงินมาให้กับทางบริษัท ที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งในคดีนี้เป็นกรณีที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้ไปทำงานยัง ประเทศลาว ซึ่งเบื้องต้น เชื่อว่ามีนายทุนเป็นชาวจีน เป็นเจ้าของบริษัท ตั้งอยู่ในเขตย่าน คาสิโน คิงส์โรมัน แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว

นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบว่ามีคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง ที่ถูกหลอกให้มาทำงานในลักษณะนี้ และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งพฤติการณ์การหลอกลวงดังกล่าว เป็นรูปแบบของการแสวงหาผลประโยชน์ จากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ หรือการอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน อันเป็นการขูดรีดบุคคล

ผบช.ภ.5 กล่าวอีกว่า จากการขยายผลยังมีกลุ่มคนไทยที่ถูกแก๊ง Scammer นี้ หลอกลวงให้ลงทุน และโอนเงินอีกหลายราย รวมความเสียหายเป็นมูลค่าหลายล้านบาท ซึ่งความผิดในส่วนแรกจะมีลักษณะเป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ จะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และในส่วนที่ 2 ก็เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป หรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม เพื่อกระทำการค้ามนุษย์แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการฯ” และ ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น ตาม ป.อาญา ม.338 โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ ศพดส.ภ.5 สืบสวนขยายผล จับกุมเครือข่าย ผู้สั่งการ และผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น