(มีคลิป) เกิดเหตุทหารพม่า ฐานด๊ากวิน ยิงเรือราษฎรไทย บ้านแม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

เกิดเหตุทหารพม่า ฐานด๊ากวิน ยิงเรือราษฎรไทย บ้านแม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะแล่นเรือไปส่งสินค้า สร้างความหวาดผวาให้กับราษฎรไทย เหตุการณ์ดังกล่าว นับเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยมาแล้วหลายครั้ง

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2564 เวลาประมาณ 12.00 น. ทหารพม่าฐานด๊ากวิน สังกัด พัน.คร.340 พิกัด LV 612999 ได้ยิงเรือ ราษฎรไทยบ้านแม่สามแลบ หมู่ 1 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยเรือดังกล่าวมีนาย จ่อ วา เล ราษฎรบ้านแม่สามแลบ เป็นเจ้าของเรือ ซึ่งเรือถูกทหารพม่ายิง ขณะที่กลับจากไปส่งสินค้าที่บ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง ทำให้เรือถูกกระสุนปืนที่กราบเรือจนทะลุ และก่อนหน้านั้น 10.45 น. เรือของ นาย หม่อ โกร ได้ถูกยิงเช่นกันขณะเดินทางจาก ท่าเรือแม่สามแลบ นำสินค้าไปส่งที่บ้านท่าตาฝั่ง เช่นกัน โดยในวันเดียวกันทหารพม่าได้ยิงเรือราษฎรไทย จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้ราษฎรไทยที่บ้านแม่สามแลบ ไม่กล้านำเรือแล่นในแม่น้ำสาละวินพร้อมทั้งขอให้ทหารพรานที่รักษาอธิปไตย พื้นที่ดังกล่าว ช่วยเจรจากับทหารพม่าไม่ให้ยิงเรือไทยอีกต่อไป

สำหรับการยิงเรือไทยจากทหารพม่า ฐานด๊ากวิน ดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย ได้นำเรือเร็วไปรับทหารพม่า ฐานตรงข้ามหมู่บ้านแม่สามแลบ หมู่ 1 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน จากนั้นได้ไปร่วมประชุมกันที่บ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง หลังจากการประชุมเสร็จ ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทย ได้เรียกประชุมเจ้าของเรือในหมู่บ้านแม่สามแลบ โดยแจ้งว่า ตั้งแต่นี้ไป เรือของราษฎรทุกคันในบ้านแม่สามแลบ สามารถวิ่งได้แล้วพม่าจะไม่ยิงเรือชาวบ้านอีกต่อไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องส่งเสบียงให้ทหารพม่าด้วย ตามที่ทหารพม่าต้องการ โดยได้มีการส่งเสบียงอาหารให้ทหารพม่าเดือนละครั้ง
ก่อนหน้านั้น สำนักข่าวชายขอบ รายงานว่า ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2564 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ซึ่งประกอบด้วยนายสุชาติ เศรษฐมาลินี และนางปรีดา คงแป้น ได้ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อตรวจสอบเรื่องร้องเรียน โดยในวันแรกได้เดินทางไปยังบ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย และบ้านท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง เพื่อรับทราบสถานการณ์ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีการสู้รบอย่างรุนแรงงานระหว่างทหารพม่าและทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) จนทำให้ชาวบ้านนับหมื่นคนต้องหนีตายมาอยู่ในป่าและริมแม่น้ำสาละวิน โดยมีชาวบ้านนับพันคนข้ามมาหลบภัยในฝั่งไทย ที่สำคัญคือความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากฝั่งไทยไม่สามารถเข้าไปถึงกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบเหล่านี้ได้เพราะถูกปิดกั้นจากทหารไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างลงพื้นที่บ้านแม่สามแลบ นายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคลจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้พาผู้หญิง 2 รายซึ่งเป็นอาสาสมัครในการนำข้าวของจำเป็นไปบริจาคให้กับชาวบ้านที่หนีภัยการสู้รบ โดยทั้งคู่ได้เล่าถึงความยากลำบากในการหลบหลีกเจ้าหน้าที่ทางการที่ตั้งจุดสกัดโดยต้องใช้เรือลอยไปตามลำน้ำสาละวินเพราะหากติดเครื่องยนต์เจ้าหน้าที่จะได้ยินเสียง บางครั้งต้องเดินขึ้นดอยเพื่อนำข้าวของไปส่งในเวลากลางคืน และต้องทำงานแข่งกับเวลาเพราะผู้ที่อพยพหนีภัยเข้ามามีทั้งทารก เด็ก คนแก่และผู้ป่วยซึ่งต่างไม่มีอาหาร

“ถ้าช่วยเหลือพวกเขาได้ เราก็อยากช่วยเพราะเป็นเหมือนพี่น้องกัน เด็กๆบางคนไม่เคยได้กินขนม พอพวกเราเอาไปให้เขาดีใจมาก บางครั้งเราต้องขนไปที่ละนิดในตอนเช้าๆเพราะไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ผิดสังเกต” จิตอาสาคู่นี้ กล่าว

ขณะที่นายสันติพงษ์กล่าวว่า ในช่วงที่มีการอพยพมาอยู่ฝั่งไทยนั้น แม้มีความพยายามประสานไปยังจังหวัดและสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อสร้างกลไกในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในช่วงทางต่างๆ ทั้งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด และผ่านสภาการชาดไทย แต่สุดท้ายไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรและต้องกลับมาใช้อาสาสมัครที่เป็นชาวบ้านช่วยกันขนของบริจาคเข้าไป ทำให้อาหารถึงมือผู้ที่อพยพหนีภัยเข้ามา

“เราควรหาแนวทางในการจัดการกันใหม่ เพราะเชื่อว่าในช่วงแล้งนี้จะเกิดการสู้รบขึ้นอีก ควรมีการเตรียมพื้นที่ปลอดภัยไว้หลายๆจุด และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปได้โดยสะดวก” นายสันติพงษ์ กล่าว

หลังจากนั้นคณะ กสม.ได้ล่องเรือเดินทางไปยังหมู่บ้านท่าตาฝั่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านได้รับความเดือดร้อนจากการสู้รบเนื่องจากฝั่งตรงกันข้ามเป็นฐานทหารพม่าซึ่ง KNU ต้องการขับไล่ให้ออกจากพื้นที่จึงเกิดการปะทะกันหลายระลอกโดยกองทัพพม่าได้ใช้เครื่องบินรบทิ้งระเบิด ทำให้ชาวบ้านท่าตาฝั่งต้องอพยพหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยคณะกสม.ได้รับฟังข้อมูลจากผู้บังคับกองร้อยทหารพราน ผู้ใหญ่บ้านและผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง

ทั้งนี้นายทรงศักดิ์ จอมแก้วเกล้า ผู้ใหญ่บ้านท่าตาฝั่ง เล่าให้คณะ กสม.ฟังว่า เมื่อมีการสู้รบรุนแรงทำให้มีชาวบ้านอพยพหนีข้ามมาฝั่งไทยซึ่งรู้สึกเห็นใจเพราะเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่พอจะนำข้าวของไปช่วยเหลือก็ถูกสั่งห้าม จนกระทั่งมีลูกปืนใหญ่มาตกหลังหมู่บ้านซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของทหารพม่าหรือทหารกะเหรี่ยง แต่โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ

นายทรงศักดิ์กล่าวว่า ช่วงที่เกิดสถานการณ์ มีผู้อพยพจากฝั่งกะเหรี่ยงเข้ามาอยู่แถวหมู่บ้านกว่า 100 คนหรือ 22 ครอบครัว แต่อยู่ไม่กี่วันก็ต้องกลับไป การอยู่ในพื้นที่ชายแดนบางครั้งก็ทำใจลำบากเพราะการนำข้าวของไปบริจาคบางครั้งก็ยุ่งยากพอสมควร เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดคือเรื่องการวางแผนช่วยเหลือ ผมเชื่อว่าช่วงหน้าแล้งนี้สถานการณ์การสู้รบจะเกิดขึ้นอีกแน่นอน ตอนนี้ทั้งทหารพม่าและทหารกะเหรี่ยงต่างเตรียมพร้อมกันเต็มที่
ขณะที่นนายสายัญ โพธิสุวรรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง กล่าวว่า ขณะนี้ที่โรงเรียนได้ทำบังเกอร์เพื่อให้เด็กๆ ได้หลบภัยหากเกิดสถานการณ์เฉพาะหน้า โดยล่าสุดได้ทำการซ้อมหนีภัยกันอย่างจริงจังเพราะต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ จริงๆแล้วไม่อยากให้เด็กๆ ได้เห็นความรุนแรง แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้โดยปัจจุบันมีนักเรียนอยู่ 132 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 30 คนเป็นเด็กตัวจี อนาคตอยากขยายจากชั้น ป.6 ให้ไปถึงระดับ ม.3 เพราะเด็กๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปเรียนในเมือง

“มีเด็กที่หนีภัยอยู่รายหนึ่ง เขาต้องว่ายน้ำข้ามแม่น้ำสาละวินมาพร้อมแม่ เขากลัวมากและอยู่ในพื้นที่ต่อไปไม่ได้ ตามแนวชายแดนไม่ใช่มีแต่ปัญหาด้านความมั่นคง แต่ยังมีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บด้วย แม่บางคนมีอาการน่าตกใจคืออุ้มลูกเล็กๆอยู่ พอได้ยินเสียงระเบิดเขาเผลอโยนลูกเลย โชคดีที่เด็กไม่เป็นอะไร” นายสายัญ กล่าว

ขณะที่นางปรีดากล่าวว่า ได้รับทราบสถานการณ์ชายแดนมากขึ้น เมื่อได้ลงพื้นที่ทำให้เห็นนึกภาพออก หากใครมีข้อเสนอหรือข้อติดขัดอะไรที่ต้องการให้เสนอแนะทางนโยบาย กสม.ก็ยินดีที่จะดำเนินการให้ เพราะเห็นถึงสถานการณ์ยากลำบากของประชาชนในแนวชายแดน

นายสุชาติกล่าวว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนทูตของสหภาพยุโรป หรืออียู 12 ประเทศได้เข้าพบหารือกับ กสม. โดยเรื่องหนึ่งที่เขาได้ให้ความสนใจคือสอบถามเกี่ยวกับการให้ความสำคัญของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามซึ่งเขาได้ถามว่าประเทศไทยดูแลคนเหล่านี้อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการสร้างบังเกอร์ไว้ในโรงเรียนท่าตาฝั่งแล้ว ขณะนี้ทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้นำกระสอบทรายมาส่งให้ชาวบ้านได้ทำบังเกอร์ไว้อีกหลายจุดเพื่อเป็นจุดหลบภัยในยามคับขัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น