ดราม่าไฟแนนซ์ตามยึดรถเช่าจากนักท่องเที่ยวสาว เจ้าของรถแจงไฟแนนซ์ไม่ยอมผ่อนปรนค่างวด ที่เหลืออีก 8 เตรียมทยอยถูกยึด

คืบหน้าดราม่าไฟแนนซ์ตามยึดรถเช่าจากนักท่องเที่ยวสาว เจ้าของรถแจงเหตุผล ท่องเที่ยวทรุดจากพิษโควิด 19 รายได้กลายเป็นศูนย์ ไฟแนนซ์ไม่ยอมผ่อนปรนค่างวด เผยที่เหลืออีก 8 คันเตรียมทยอยถูกยึด วอนรัฐบาลช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจรถเช่าก่อนเจ๊งทั้งระบบ


จากกรณีเกิดเรื่องราวดราม่าขึ้นหลังมีนักท่องเที่ยวสาวจากกรุงเทพมหานครที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เช่ารถเก๋งจากบริษัทให้เช่า ขับเที่ยวในเชียงใหม่และไปต่อที่จังหวัดเชียงราย แต่ปรากฏว่าเมื่อไปจอดไหว้พระที่วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย กลับถูกกลุ่มคนจากบริษัทไฟแนนซ์ตามมายึดรถถึงวัด พยายามอธิบายไปว่าเป็นนักท่องเที่ยวเช่ารถมาและขอให้ตามไปยึดหลังคืนรถที่เชียงใหม่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ต้องทิ้งรถนั่งแท็กซี่กลับเชียงใหม่ เสียเงินค่าแท็กซี่ไป 1,700 บาท แถมหมดสนุกกับการเที่ยว

นักท่องเที่ยวสาวรายนี้ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตนเองและเพื่อนผู้หญิงอีก 1 คน ได้เดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ถึงสนามบินเชียงใหม่ เพื่อท่องเที่ยว โดยก่อนเดินทางจากกรุงเทพฯ ได้ติดต่อเช่ารถยนต์จากบริษัทรถเช่าแห่งหนึ่งผ่านทางเฟซบุ๊ค และ ได้โอนเงินค่าเช่ารถและมัดจำให้

เมื่อเดินทางถึงสนามบินเชียงใหม่ ผู้ให้เช่าได้นำรถยนต์เก๋งโตโยต้าสีขาว มาจอดไว้ให้ที่ลานจอดรถของสนามบิน โดยแจ้งตำแหน่งที่จอดรถและจุดที่ซ่อนกุญแจรถไว้ให้ โดยที่ไม่ได้พบกับผู้ที่นำรถมาส่งและไม่ต้องเซ็นเอกสารเช่ารถอะไร


ต่อมาวันที่ 20 ธ.ค.64 ตนเองและเพื่อนได้ขับรถยนต์เชียงใหม่ไปเที่ยวจังหวัดเชียงราย โดยช่วงสายได้เข้าไปไหว้พระที่วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย จากนั้น ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าร้านขายอาหารฝั่งตรงข้ามกับวัด ปรากฏว่าได้มีชาย 3 คน มารุมล้อมไม่ยอมให้ขึ้นรถ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทไฟแนนซ์จะมายึดรถยนต์คันที่ตัวเองเช่า เนื่องจากเจ้าของรถค้างค่าผ่อนชำระเกินกำหนด โดยไม่มีการแสดงเอกสารหลักฐานใดๆเลย จึงได้เกิดการโต้เถียงกัน เพราะตัวเองเห็นว่าไม่ถูกต้องและได้พยายามติดต่อกับทางผู้ใช้เช่ารถ พร้อมกับไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจที่ประจำอยู่ที่ป้อมใกล้กับวัดร่องขุ่น ระหว่างนั้นได้มีผู้หญิงอีก 2 คน ที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทไฟแนนซ์ตามมาสมทบ ซึ่งทั้งหมดได้พูดข่มขู่ไปต่างๆ นานา แต่ตกลงกันไม่ได้ ซึ่งตำรวจจึงได้ให้ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย

เมื่อถึงโรงพักตนเองได้แจ้งกับตำรวจว่าต้องการใช้รถที่เช่ามาเพื่อขับท่องเที่ยวต่อ ส่วนเรื่องเจ้าของรถค้างค่าเช่าและทางไฟแนนซ์จะยึดรถนั้นเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเป็นเรื่องระหว่างเจ้าของรถเช่ากับไฟแนนซ์ หรือหากต้องการจะยึดรถก็ให้ไปยึดคืนหลังจากคืนรถ ปรากฏว่าไฟแนนซ์ไม่ยอม และ ทางตำรวจก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนสุดท้ายเวลาประมาณ 16.00น.ตัวเองและเพื่อน ไม่ต้องการจะมีปัญหาใดๆแล้ว จึงตัดสินใจจอดรถยนต์ที่เช่ามาทิ้งไว้ที่โรงพักและเก็บกุญแจรถไว้ไปคืนเจ้าของรถเช่าและแจ้งให้เจ้าของรถทราบ พร้อมขอลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนจะนั่งรถแท็กซี่จากเชียงรายให้ส่งกลับที่พักที่เชียงใหม่ในราคา 1,700 บาท ส่วนทางฝ่ายคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์ ได้ขอลงบันทึกประจำวันไว้เช่นกัน แต่ไม่ทราบรายละเอียด พร้อมกับนำรถยกมานำรถยนต์เก๋งที่ตัวเองเช่ามาออกไปด้วย

เมื่อเดินทางกลับถึงเชียงใหม่ในช่วงค่ำวันที่ 20 ธ.ค.64 ทางเจ้าของรถเช่าได้นำรถยนต์เก๋งคันใหม่ป้ายแดงมาให้ใช้แทน เพราะได้จ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าไปทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ได้รับผิดชอบค่าว่าจ้างรถแท็กซี่จากเชียงรายให้แต่อย่างใด จากนั้นในวันรุ่งขึ้น(21ธ.ค.64) ตัวเองและเพื่อนได้ท่องเที่ยวไหว้พระตามวัดต่างๆ ในเชียงใหม่ และขึ้นเครื่องเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยนำรถยนต์ที่เช่าไปส่งคืนด้วยการจอดทิ้งไว้ที่สนามบินเชียงใหม่และซ่อนกุญแจไว้เหมือนตอนที่รับรถครั้งแรก

นักท่องเที่ยวรายนี้ บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกช็อคเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ โดยเห็นว่าเรื่องแบบนี้ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวและในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และ ขอให้เรื่องนี้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์

ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังเจ้าของบริษัทรถเช่าดังกล่าว แต่เจ้าของไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับสื่อ แต่ให้ข้อมูล ยอมรับว่ารถเก๋งคันดังกล่าวค้างจ่ายค่างวดหรือติดไฟแนนซ์มาแล้ว 10 งวด แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเจตนาหลอกหลวงนักท่องเที่ยว โดยรถคันนี้ทางบริษัทไฟแนนซ์ได้ฟ้องคดีต่อศาลและศาลได้นัดเจรจาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 65 ซึ่งตนเองตั้งใจเจรจาไกล่เกลี่ย แต่หากศาลสั่งให้คืนก็พร้อมจะคืนให้ แต่ระหว่างที่รอวันศาลนัด ประกอบกับเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว จึงนำรถคันนี้ออกมาให้เช่าเพื่อหารายได้ก่อน โดยไม่คิดว่าจะถูกตามไปยึดถึงเชียงราย

เจ้าของรถเช่า บอกว่า บริษัทมีรถเช่าอยู่ 9 คัน ( ยี่ห้อโคโยต้า 7 คัน และ ยี่ห้ออื่นอีก 2 คัน ) ก่อนหน้านี้รถคันที่เกิดเรื่องได้เข้าโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐบาลเป็นเวลา 3 เดือน ในช่วงที่การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปิดประเทศและจำกัดการเดินทาง แต่หลังจากหมดพักชำระหนี้รอบแรก ทางบริษัทไฟแนนซ์ก็ไม่ยอมให้พักชำระนี้รอบที่สองหรือสามต่อเหมือนกับไฟแนนซ์บริษัทอื่น ขณะที่ทางบริษัทไม่มีรายได้เข้ามาเลย ทำให้เริ่มค้างค่างวด เมื่อเข้าไปเจรจาขอพักชำระกับไฟแนนซ์ก็ไม่ยอม จึงไม่รู้จะทำอย่างไร จนกระทั่งไฟแนนซ์ฟ้องศาลและศาลนัดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 65 ก็ตั้งใจคืนรถ แต่ก็อยากใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นำรถมาหารายได้ แต่ก็มาถูกตามยึดเสียก่อน

นอกจากคันนี้แล้ว เจ้าของรถเช่าบอกว่ารถทุกคันที่เหลืออยู่ก็กำลังจะทยอยโดนยึด เพราะค้างค่างวดด้วยเช่นกันซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด 19 และ ไม่ใช่ตนเองบริษัทเดียว แต่ยังมีรถเช่าอีกหลายบริษัทที่ต้องเจอกับปัญหาเดียวกัน ตอนนี้ที่การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว จะขอเจรจานำรถมาปล่อยเช่าหารายได้เพื่อนำเงินไปจ่ายค่างวด บริษัทไฟแนนซ์ก็ไม่ยินยอม

ที่ผ่านมากลุ่มรถเช่าพยายามเรียกร้องให้รัฐบาล ออกมาตรการมาเยียวยาผลกระทบ แต่ก็พบว่าเป็นนโยบายที่ไม่มีผลในเชิงบังคับ ทำให้ไฟแนนซ์หลายแห่งไม่พักชำระหนี้หรือพักให้แค่ 3 เดือน จนเกิดผลกระทบกันถ้วนหน้า จึงถือโอกาสนี้เรียกร้องให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น