(มีคลิป) โครงการ Care the Wild ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตร ปลูกป่าน่าน ลดภาวะโลกร้อน พร้อมสร้างอาชีพให้ชุมชน

ปีที่ผ่านมาพื้นที่ป่าในประเทศไทยมีจำนวนคงที่ 102 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31.6 จากพื้นที่ประเทศทั้งหมด 322 ล้านไร่ ซึ่งตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กำหนดให้มีพื้นที่ป่าร้อยละ 40 ซึ่งป่าไม่เพียงจะสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ด้วยเหตุนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดทุนให้เกิดประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องในทุกมิติของสังคม จึงดำเนินโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” มาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่ป่าทั่วประเทศนำร่อง ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน โดยล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร ลงพื้นที่สำรวจความคืบหน้าการปลูกป่าชุมชนบ้านนาหวาย ต.บ่อแก้ว อ.นาหมื่น จ.น่าน

“นพเก้า สุจริตกุล” ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ Care the Wild เน้นการร่วมดูแลต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโตและรอดตาย 100% จนกลายเป็นผืนป่าอย่างแท้จริง โดยหลังจากมีผู้บริจาคเงินเพื่อปลูกต้นไม้ องค์กรผู้ยื่นแบบความจำนงขอระดมทุนเพื่อปลูกป่า จะนำส่งรายละเอียดของต้นไม้ สถานที่ และวันเดือนปีที่ปลูก รวมถึงรายงานความคืบหน้าผลการปลูกและการเติบโตทุก 6 เดือนผ่านแอปพลิเคชั่น Care the Wild

“ป่าชุมชนบ้านนาหวาย หมู่ 8 ต.บ่อแก้ว อ.นาหมื่น จ.น่าน ได้รับการสนับสนุนทุนเพื่อปลูกต้นไม้รวม 100 ไร่ ที่บริเวณห้วยฮ้อ เป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน และเขตป่าชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ พื้นที่ดอยเขาลม ซึ่งพันธมิตรผู้ร่วมสนับสนุนทุนปลูกป่าแปลงนี้ประกอบด้วย ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) บลจ. กสิกรไทย (KAsset) และ บจ. เดอะมอลล์ กรุ๊ป (The Mall) โดยมีกรมป่าไม้ยื่นความจำนงเป็นองค์กรผู้ปลูก ด้วยการทำงานร่วมกับคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านนาหวาย และสมาชิกหมู่บ้าน ร่วมปลูกป่าและติดตามรายงานผลการเติบโตของผืนป่าแห่งนี้ตลอด 6 ปี ซึ่งเริ่มปลูกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564”

การมาสำรวจป่าชุมชนบ้านนาหวายครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และคณะทำงานโครงการ Care the Wild ยังสนับสนุนงบประมาณทำฝายกึ่งถาวรและมอบอุปกรณ์ดับไฟป่าให้แก่ชุมชน เมื่อ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้กำลังเข้าสู่หน้าแล้ง จึงมีการทำระบบน้ำหยดเพื่อรดต้นไม้และวางแผนจะสร้างธนาคารน้ำใต้ดินรองรับปัญหาความแห้งแล้งที่จะมาถึง

“ไตรสรณ์ วรญาณโกศล” นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) กล่าวว่า นอกจากบริษัทจดทะเบียนจะมีบทบาทในการสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ หน้าที่อีกด้านที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากการที่โลกมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยต้นไม้เป็นตัวช่วยในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ดีที่สุด โครงการนี้มีส่วนสำคัญที่จะช่วยลดโลกร้อนได้ ถึงแม้การแก้ปัญหานี้อาจต้องใช้ระยะเวลานาน แต่ดีกว่าการที่ไม่เริ่มลงมือทำและปล่อยให้สายเกินไป

“นันทนา บุญยานันต์” ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ กล่าวว่า ป่าชุมชนบ้านนาหวายมีอาณาเขตครอบคลุม 520 ไร่ ดังนั้นการปลูกป่า 80 ไร่ ด้วยต้นไม้กว่า 16,000 ต้น จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 144,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
“นอกจากนี้ ยังเป็นการลดภัยแล้ง เพิ่มความสมบูรณ์ให้แหล่งต้นน้ำ สร้างแหล่งอาหาร สร้างพืชเศรษฐกิจให้ชุมชน สร้างอาชีพจากเกษตรแปรรูป เช่น มะขามแช่อิ่ม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรในพื้นที่แห่งนี้ สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนบ้านนาหวายกว่า 4,165 ครัวเรือน”

“สมหวัง แสงวันเพ็ญ” ผู้ใหญ่บ้านและประธานคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านนาหวาย กล่าวว่า ชุมชนต้องการสร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รวมถึงการพัฒนาเป็นแหล่งสมุนไพรของชุมชน และสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่พื้นที่ โดยพันธุ์ไม้ที่ปลูก ได้แก่ ไม้ประดู่ ไม้มะค่าโมง ไม้พยูง งิ้วดอกแดง ไม้สัก มะขามป้อม ตาว ส่วนไม้ผล ได้แก่ มะม่วง มะขามเปรี้ยวฝักยักษ์ มะม่วงหิมพานต์ ไผ่ซางหม่น เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย อะโวคาโด และกาแฟ

องค์กรภาคธุรกิจที่สนใจร่วมระดมทุนปลูกต้นไม้ให้ได้ป่าตามหลักธรรมาภิบาล กับโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” ติดต่อได้ที่อีเมล [email protected] หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.setsocialimpact.com/carethewild

ร่วมแสดงความคิดเห็น