(มีคลิป) เหยื่อแก๊งแสกมมิ่งคิงส์โรมันถูกหลอกทำงานเล่าวินาทีหลบหนี เตรียมให้ข้อมูลตำรวจช่วยคนที่เหลือ

เหยื่อแก๊งแสกมมิ่ง เล่าเหตุการณ์หการหลบหนีใช้เวลาเดินเท้าออกมากว่า 1 ชั่วโมง ต้องพายเรือข้ามแม่น้ำโขง เพื่อกลับมาบ้าน เตรียมให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เพื่อเร่งช่วยเหลือคนไทยที่เหลือ และดำเนินคดีกับขบวนการหลอกลวงคนไปทำงาน

จากกรณีเกิดเหตุการณ์แก๊งสกิมมิ่ง ได้หลอกคนไทย 15 คนไปทำงาน เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว อ้างว่าไปทำงานแอดมินเวปไซต์ ในบ่อนคาสิโน แต่เมื่อข้ามไปกลับถูกบังคับให้เป็นแก๊งสกิมมิ่ง บังคับให้หลอกลวงคนไปลงทุน หุ้นทอง และเหรียญคริปโต เมื่อเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินเข้าไปจริงก็จะปิด IG และ facebook หลบหนี โดย น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ชาว อ.เมือง จ.เชียงราย เล่าว่าในกลุ่มของตนที่ถูกหลอกไปพร้อมกันมี 15 คน ได้รับการเชิญชวนปลายเดือน ธ.ค. 2564 เพื่อให้ไปทำงานโดยไปอย่างถูกกฎหมาย

แต่เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทาง พบว่า ว่าได้พานั่งเรือเล็กหรือเรือกาบข้ามแม่น้ำโขง ที่บริเวณหมู่บ้านสวนดอก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อไปถึงฝั่งลาวก็มีรถมารับไปกักโรคที่ห้องพักนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ เวลา 7 วัน โดยมีคนนำอาหารมาส่งให้วันละ 2 มื้อ จากนั้นถูกพาเข้าไปในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำแล้วกักตัวอีก 14 วัน ก่อนพาไปพักที่ชั้น 9 ของตึกสีฟ้าและมีตึกที่ทำงานอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีระบบป้องกันการหลบหนีเข้มงวดโดยมีทั้งป้อมยาม และเวรยามตรวจตรา ต่อมาถูกส่งให้ไปทำงานในห้องโถงใหญ่มีโต๊ะทำงาน โทรศัพท์มือถือคนละ 3 เครื่อง คอมพิวเตอร์ ระบบอินเตอร์เน็ต ภายในห้องมีคนที่ถูกหลอกไปทำงานประมาณ 50 คน ส่วนใหญ่เป็นคนจีน คนไทยเชื้อสายจีน และมีพวกตนที่เป็นคนไทยอยู่เพียง 15 คน

น.ส.บี นามสมมุติ กล่าวว่า วันแรกพวกหนูถูกบังคับให้ทำวันละ 12 ชั่วโมง ต่อมาเพิ่มเป็นวันละ 15 ชั่วโมง จะหลบหนีก็ไม่ได้และไม่มีเงินเดือนให้ มีแต่ห้องนอน ออกจากห้องนอนก็ไปทำงาน มีข้าวให้ทาน 2 มื้อ แล้วกลับห้องนอน ถ้าทำไม่ได้ตามเป้าก็ขู่จะขายต่อให้กับบริษัทอื่น โดยพวกตนพึ่งเข้าไปใหม่ยังทำได้ไม่เต็มที่ แต่คนที่อยู่มานานพบว่าบางคนหลอกเหยื่อรายหนึ่งให้โอนเงินไปนับ 10 ล้าน ซึ่งหลังถูกหลอกไปทำงาน ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีคนนำสัญญามาให้เซ็นต์เพื่อว่าจ้างแต่ระบุเงินเดือนเพียง 25,000 บาท ระยะเวลาแค่ 2 เดือน และถ้าถึงเดือนที่ 3 จะให้เงินตามจำนวนเงินที่หลอกเหยื่อมาได้ ทำให้รู้ว่าถูกหลอกให้มาทำงานที่ไม่ดี และถูกเอาเปรียบเรื่องรายได้ ทำให้พวกตนไม่อยากทำงานและพยายามติดต่อกับสถานเอกอัคราชฑูตไทยทางเวปไซต์ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำว่าอย่าเซ็นต์ตามสัญญาจ้างและเจ้าหน้าที่จะพยายามช่วยเหลืออยู่แต่จากนั้นก็เงียบหายไป

จนกระทั่ง ปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้หนีออกมาพร้อมเพื่อน 5 คน เป็นชาย 3 คนหญิง 2 คน กลับมาฝั่งไทยได้โดยพวกเขาอาศัยการที่ได้รู้จักมักคุ้นกับหญิงสาวชาวลาวคนหนึ่งที่ทำหน้าที่อยู่บริเวณหน้าห้องกักตัวเพื่อป้องกันโควิด-19 ในช่วงแรก เมื่อกลุ่มคนไทยรู้ว่าถูกหลอกจึงหาโอกาสเข้าไปสอบถามสาวลาวว่าพอจะมีช่องทางช่วยให้หลบหนีกลับประเทศไทยได้บ้าง ซึ่งสาวลาวคนดังกล่าวแนะนำให้รู้จักกับคนพาหลบหนีอีกคนหนึ่งแต่ต้องจ่ายค่าจ้งให้พวกเขาเป็นค่าพาหลบหนีออกจากเขตเศรษฐกิจพิเศษคนละ 30,500 บาท และค่ารถและเรือข้ามแม่น้ำโขงคนละอีก 14,000 บาท รวมทั้งหมดคนละ 44,500 บาท ทำให้หลายคนโทรไปขอเงินพ่อแม่โอนเงินมาให้และมีอยู่คนหนึ่งครอบครัวต้องนำบ้านไปจำนอง เพื่อแลกกับอิสระภาพ

ด้านนายซี (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี กล่าวว่า ผมสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จึงถูกใช้ให้หลอกเหยื่อทางโซนยุโรปแต่ผมเห็นว่าไม่ตรงกับงานที่ตั้งใจไว้และผิดศีลธรรม เมื่อประสานกับคนพาหลบหนีได้แล้วจึงชักชวนกันออกจากตึกสีฟ้าที่พักในเวลา 19.30 น.โดยทิ้งข้าวของทั้งหมดเอาไว้ในห้องนอนโดยพากันสวมเสื้อและกางเกงสีทึบ เพื่อพรางตัวในความมืด จากนั้นวิ่งหลบหนียามออกไปทางด้านหลังของตึกสีฟ้าแล้วเดินเท้าไป ประมาณ 1 ชั่วโมง จนถึงหมู่บ้าน จากนั้นก็มีรถยนต์มารับแล้วพาพวกตนเดินทางไปท่ามกลางความมืดโดยไม่รู้ว่าไกลแค่ไหนและจะพาไปจุดใด จนไปถึงฝั่งแม่น้ำโขงจึงมีรถกาบแบบเดิมมารับให้ลงเรือพร้อมกันทั้ง 5 คน คนเรือก็ใช้ไม้พายพายเรือออกไปกลางแม่น้ำโขงแทนการติดเครื่องยนต์เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง แล้วมาขึ้นฝั่งไทยที่บริเวณหมู่บ้านปงของ ต.แม่เงิน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

“เมื่อถึงฝั่งไทยก็คิดว่าปลอดภัยแล้วแต่คนพาหลบหนีให้ซ่อนตัวก่อนเมื่อเรือออกจากฝั่งไปแล้วก็มีอีกคนพาเข้าไปซ่อนตัวในสวนยางพารา และคนนำพาในฝั่งไทยก็ไม่พาเดินทางต่อไปโดยทันทีเพราะรอให้พรรคพวกในฝั่งลาวโอนเงินเข้าบัญชีมาก่อน ทำให้ต้องซ่อนตัวในสวนยางพาราอยู่ครู่ใหญ่ จนมีการโอนเงินแล้วคนในสวนก็พาพวกผมขึ้นรถยนต์แล้วพาไปส่งที่บริเวณหน้าตลาดสดเชียงแสนใกล้กับ สภ.เชียงแสน ซึ่งเป็นจุดที่นัดให้ญาติไปรับ” นายซี (นามสมมุติ) กล่าว

หลังจากที่ได้หลบหนีออกมาได้แล้ว ประมาณ 1 อาทิตย์ต่อมา พบว่ามีผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา 6 คน แต่ยังเหลืออีก 4 คน ซึ่งล่าสุดทราบว่าแก๊งสกิมมิ่งนำตัวไปขายให้กับแก๊งอื่นและจากการติดต่อทางโทรศัพท์และไลน์ที่หลบหนีได้ทราบว่าทั้งหมดถูกใช้ให้ทำงานลักษณะเดียวกัน ทำงานวันละ 15 ชั่วโมง และบริเวณที่พักและที่ทำงานยังล้อมด้วยรั้วไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีอีกด้วยจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือด่วน

อย่างไรก็ตามในวันที่ 14 มี.ค. 65 ทางผู้ที่หลบหนีมาได้ทั้งหมดจะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านดู่ เพื่อให้ข้อมูลในการช่วยเหลือคนไทยที่ติดค้างอยู่ และเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยไปทำงานด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น