มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วโลก สาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านม มีหลายปัจจัยด้วยกัน แต่สาเหตุหลักคือฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นได้หาก รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน หรือมีมะเร็งเต้านมในครอบครัว
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
ผู้หญิงทุกคนควรต้องตรวจ โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ตรวจทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง 7-10 วันหลังจากเป็นประจำเดือนวันแรก เนื่องจากคลำในขณะที่มีประจำเดือนจะทำให้เต้านมแน่น คลำหายาก
สัญญาณอันตราย
หากคลำและพบก้อนบริเวณเต้านม แม้ไม่รู้สึกเจ็บปวดก็ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจก้อนนั้นว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือมีน้ำไหลออกจากหัวนม หัวนมผิดปกติไปจากเดิมเช่น บุ๋มลึก เนื้อเต้านมที่ปกติกลับเปลี่ยนรูป ก็ควรที่จะรีบพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัย หากไม่มีอาการใดๆเลย แต่อายุ 40 ปีขึ้นไปแนะนำให้การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเช่นกัน หากแม่มีประวัติในการเป็นมะเร็งเต้านมควรเริ่มตรวจเร็วกว่าคนทั่วไป โดยเริ่มที่อายุที่แม่เป็นมะเร็งลบ 10 ปี
เครื่องมือในการตรวจมะเร็งเต้านมจะมีเครื่องมืออยู่ 3 เครื่องหลักๆ คือ
- แมมโมแกรม เป็นเครื่องมือหลักในการตรวจ จะเป็นเครื่องที่ถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซเรย์ที่เป็นอันตรายน้อยมาก มีความปลอดภัย สามารถหาก้อน หินปูน ฯลฯ ได้หมด
- อัลตราซาวด์ ไม่มีรังสี ลักษณะเด่นในการตรวจคือหาก้อนเนื้ออย่างเดียว
- เอ็ม.อาร์.ไอ เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริม ในกรณีที่ทำแมมโมแกรมกับอัลตราซาวด์แล้ว ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้
การเลือกตรวจมะเร็งเต้านม
- ผู้ป่วยไม่มีอาการเริ่มคัดกรองที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ด้วยเครื่องแมมโมแกรม และเสริมด้วยอัลตราซาวด์
- ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 30 ปี จะเริ่มด้วยอัลตราซาวด์ก่อนเพื่อไม่ให้มีผลกระทบจากรังสี หากอัลตราซาวด์สามารถวินิจฉัยโรคได้ก็เริ่มทำการรักษา หากอายุ 35 ปี แล้วคลำได้ก้อน จะพิจารณาว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้เริ่มตรวจด้วยแมมโมแกรม 1 ครั้ง เพื่อวินิจฉัยโรค และตรวจอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุ 40 ปี เมื่อพบความผิดปกติของโรคจากแมมโมแกรม แพทย์จะหาชิ้นเนื้อจากการอัลตราซาวด์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำชิ้นเนื้อมาตรวจ ซึ่งการเจาะชิ้นเนื้อด้วยขั้นตอนนี้จะง่ายต่อการตรวจ
ระยะเวลาในการตรวจเพื่อทราบผล
หากคลำเจอก้อนสามารถนัดตรวจมะเร็งได้ทันที เมื่อทำแมมโมแกรม ตรวจอัลตราซาวด์ แล้วพบความผิดปกติสามารถเจาะชิ้นเนื้อให้ได้เลย โดยหากใช้เข็มเล็ก สามารถทราบผลได้ทันทีหากได้ทำในวันเดียวกันกับห้องตรวจโรคเต้านมของศัลยแพทย์ หากเจาะะชิ้นเนื้อใหญ่ จะใช้ทราบผลเวลา 5-7 วัน
ระยะของการเป็นมะเร็งเต้านม
ระยะไม่ลุกลาม เรียกว่ามะเร็งเต้านมระยะที่ 0
- ยังไม่ลุกลามออกนอกท่อน้ำนม
- โอกาสหายขาดมากกว่า 98 เปอร์เซ็นต์
- ผ่าตัดรักษาเป็นหลัก
- ทานยาต้านฮอร์โมน
- ระยะลุกลาม จะแบ่งเป็น 4 ระยะ โดยการแบ่งระยะของมะเร็งเต้านม แบ่งดูจากขนาดของมะเร็งที่กระจายไปทางต่อมน้ำเหลือง คือบริเวณรักแร้ รวมถึงอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นปอด ตับ กระดูก หรือสมอง
ระยะที่ 1-2
- ลุกลามออกท่อน้ำนม
- ก้อนมะเร็งขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร และไม่มีแผลบนเต้านม
- อาจจะกระจายไปต่อมน้ำเหลือง แต่ไม่เกิน 3 ต่อม
- ผ่าตัดเป็นการรักษาหลัก
- เคมีบำบัด ฉายแสง (เมื่อมีข้อบ่งชี้)
- ยาพุ่งเป้าเฉพาะ เพื่อลดโอกาสการเป็นซ้ำ
- ยาต้านฮอร์โมน
ระยะที่ 3
- ระยะลุกลามเฉพาะที่
- ก้อนมะเร็งขนาดเกิน 5 เซนติเมตร หรือมีแผลร่วมด้วย
- ต่อมน้ำเหลืองรักแร้โต ติดอวัยวะสำคัญข้างเคียง
- ให้ยาเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด
- ฉายแสงหลังผ่าตัด
- การรักษาอื่นๆเหมือนระยะต้น
ระยะที่4
- แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆของร่างกาย อาทิ กระดูก ปอด ตับ สมอง
- รักษาด้วยยาเป็นหลักทั้งเคมีบำบัด ยาต้านฮอร์โมน ยาแบบพุ่งเป้าหลายชนิด
- เป้าหมายของการรักษาเพื่อประคับประคอง ยืดระยะสงบของโรค ยืดอายุของผู้ป่วยให้มากที่สุด โดยที่ยังคงคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้ป่วย
- ผ่าตัดเมื่อจำเป็น เช่นก้อนมะเร็งเป็นแผลเลือดออก
การผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม (ระยะที่ 1-2)
- ตัดเต้านมออกทั้งหมด เสริมเต้านมใหม่
- ผ่าตัดสงวนเต้านม ต้องได้รับการฉายแสงด้วยเสมอ
ถึงแม้จะผ่าตัดไปแล้ว สามารถมีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำ ช่วงเวลาที่จะกลับเป็นซ้ำคือภายใน 2 ปีแรก เพราะฉะนั้นหลังจากการรักษา 2 ปีจะมีการนัดที่ถี่ เพื่อติดตามอาการ ไปจนถึง 5 ปี หลังจาก 5 ปีไปแล้วโอกาสกลับเป็นซ้ำจะน้อยลง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ผศ.พญ.ปัญจพร วงศ์มณีรุ่ง อาจารย์ประจำหน่วยระบบศีรษะ คอ และเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. และอ.พญ. ลลิตา ฮั่นตระกูล อาจารย์ประจำหน่วยรังสีวินิจฉัย ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช.
ร่วมแสดงความคิดเห็น