กังวลเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่

กรมอนามัย เผยสงกรานต์ คนไทยร้อยละ 75 กังวลเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ย้ำ ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก ป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์

​วันนี้ (12 เมษายน 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย พร้อมด้วย นางชะไมพร โชติมาโนช ผู้อำนวยการสำนักการขนส่งผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม และ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าว “เทศกาลสงกรานต์ ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก ป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์”
​นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สถานการณ์โควิดสายพันธุ์ยังอยู่ในความสนใจ ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงกรานต์ที่มีการเคลื่อนที่เดินทาง และรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมาก หากไม่มีการป้องกันที่ดีอาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งจากข้อมูลผลการสำรวจอนามัยโพล พบว่า ประชาชนร้อยละ 75 มีความกังวลต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากไม่รู้ว่าสายพันธุ์ใหม่จะรุนแรงเพียงใด กลัวว่าจะติดเชื้อได้ง่าย และกังวลว่าวัคซีนที่ฉีดไปแล้ว จะสามารถป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้หรือไม่ ขณะที่ร้อยละ 25 ไม่รู้สึกกังวลเนื่องจากมั่นใจว่าตนเองและคนในครอบครัว สามารถป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี และเชื่อมั่นต่อวัคซีนที่ได้รับมากกว่า 2 เข็ม สำหรับข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น พบว่า ร้อยละ 64 ต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับเชื้อโควิดแต่ละสายพันธุ์ เช่น โอมิครอน BA.1 BA.2 หรือพันธุ์ผสม XE XJ เป็นต้น ร้อยละ 49 ต้องการทราบวิธีดูแลเพิ่มเติมในกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ รวมถึงรู้วิธียกระดับการป้องกันตนเองต่อโควิดสายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้ บางส่วนต้องการทราบข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ รวมถึงวิธีการทำความสะอาด ต้องมี ความแตกต่างจากวิธีการเดิม ๆ หรือไม่ และข้อมูลของสถานประกอบการที่ผ่านมาตรการป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า เมื่อนำข้อมูลเท่าที่มีในปัจจุบันของแต่ละสายพันธุ์ที่น่ากังวลมาเปรียบเทียบในแต่ละด้าน พบว่า 1) ด้านความรุนแรงของเชื้อ พบว่า สายพันธุ์เดลตามีความรุนแรงมากที่สุด ขณะที่โอมิครอน BA.2 มีความรุนแรงน้อยที่สุด 2) ด้านการแพร่กระจายของเชื้อ จากข้อมูลในปัจจุบัน พบว่า โอมิครอน BA.2 แพร่ง่ายกว่า BA.1 และ เดลตา ตามลำดับ 3) ด้านความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกัน โอมิครอน BA.2 จะมีความสามารถหลบหนีภูมิมากกว่า BA.1 และ เดลตา ตามลำดับ ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับโอกาสติดเชื้อโควิดซ้ำได้ และ 4) ด้านความคงทนของเชื้อโรคบนพื้นผิวสัมผัส ยังไม่มีข้อมูลในสายพันธุ์ย่อย แต่พบว่า โอมิครอนอยู่บนพื้นผิวหนัง และผิวพลาสติกที่นานกว่าเดลตา ซึ่งสายพันธุ์ลูกผสม XE หรือ XJ ยังคงมีข้อมูลที่จำกัด โดยข้อมูลเท่าที่มี พบว่า สามารถแพร่ติดเชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์ย่อย BA.2 มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเทียบเท่ากับ สายพันธุ์ BA.2 มีอาการเช่นเดียวกับสายพันธุ์โอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม ATK ยังใช้งานได้ตามปกติ แต่เนื่องจากโควิดทุกสายพันธุ์ เป็นไวรัสเช่นเดียวกัน มาตรการป้องกันส่วนบุคคลเช่นที่ผ่านมา หากดำเนินการอย่างเคร่งครัด ยังคงมีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม โดยมาตรการวัคซีน ยังคงแนะนำการฉีดครบตามเกณฑ์ และควรได้รับเข็มกระตุ้น เพื่อลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต จากการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า วัคซีน 3 เข็ม ป้องกันการเสียชีวิตได้ ร้อยละ 98-99 ส่วนมาตรการ DMH ยังคงต้อง เน้นย้ำเป็นพื้นฐานสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าคุณภาพให้ถูกต้อง ปิดจมูกปาก และกระชับกับใบหน้า และสำหรับมาตรการสิ่งแวดล้อม เน้นมาตรการเดิม โดยการทำความสะอาดให้ใช้แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือสารทำความสะอาดทั่วไปเช่นเดิม ส่วนการระบายอากาศใช้หลักการเช่นเดิม โดยเปิดช่องลม ประตู หน้าต่าง ให้ระบายอากาศ เข้าและออกได้ ซึ่งยังคงลดอัตราการติดเชื้อ

“ดังนั้น เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ คาดว่าจะพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก โดยจะเห็นตัวเลขติดเชื้ออยู่ที่ 50,000 ถึง 100,000 รายต่อวัน ทั้งจากการตรวจ PCR และ ATK ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่าย ที่จะช่วยกันป้องกันให้ตัวเลขอยู่ในระดับใด และที่สำคัญคือ ต้องดูแลเรื่องการเสียชีวิต ไม่ควรให้เกินวันละ 200 ราย เพื่อลดความสูญเสีย และเรื่องผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ให้อยู่ในระดับ ที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้ ประชาชนสถานประกอบกิจการ/กิจกรรม ทุกภาคส่วนจึงต้องถือปฏิบัติตามมาตรการ VUCA เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับโควิด สอดคล้องกับแนวทางการปรับลด โควิดจาก “โรคติดต่ออันตราย” ให้เป็น “โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง” ของประเทศไทยต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ทางด้าน นางชะไมพร โชติมาโนช ผู้อำนวยการสำนักการขนส่งผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่ามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ได้ดำเนินการดังนี้ 1) สถานีขนส่งผู้โดยสาร ได้จัดสถานที่นั่งรอ จัดระบบคิวการเข้าซื้อตั๋วโดยสาร และการขึ้นรถโดยสารให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยเว้นระยะที่นั่งหรือยืนห่างกัน จัดให้มีการระบายอากาศภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร และทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ช่องจำหน่ายตั๋ว ที่นั่ง ราวจับบันได หรือบันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ และห้องสุขา เป็นต้น รวมทั้งให้กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน 2) รถโดยสารสาธารณะ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ราวจับบริเวณประตูรถหรือบันได เบาะที่นั่ง สำหรับห้องสุขาบนรถโดยสารสาธารณะให้ทำความสะอาดทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นกรณีพิเศษ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ จัดให้มีการระบายอากาศภายในรถโดยสารปรับอากาศ รถตู้โดยสารปรับอากาศ โดยให้พนักงานขับรถพิจารณาจอดพักรถ และเปิดประตูหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศภายในรถขณะเดินทางทุก 2 ชั่วโมง กำกับ ดูแล ให้พนักงานขับรถหรือผู้ให้บริการและผู้โดยสาร สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง และจัดให้มีหน้ากากสำรองไว้บริการหรือจำหน่ายด้วย นอกจากนี้ งดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง รวมทั้งห้ามผู้โดยสารกินอาหารบนรถ เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็น ปรับรูปแบบการซื้อตั๋วโดยสารล่วงหน้าผ่านทางแอปพลิเคชั่น โทรศัพท์ เว็บไซต์ หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น แทนการซื้อตั๋วโดยสารที่สถานีขนส่ง สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด ให้มีการวัดอุณหภูมิก่อนขึ้นรถ หากผู้โดยสารมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้ความร่วมมือในการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ผู้ให้บริการสามารถ ปฏิเสธการขึ้นรถโดยสารได้ พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งให้กำกับดูแลพนักงานขับรถ และพนักงานบริการ รถโดยสารสาธารณะควรได้รับการฉีดวัดซีนให้ครบก่อนให้บริการ และให้มีการตรวจ ATK เป็นระยะ ๆ
ทางด้าน นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้วางแนวทางให้สงกรานต์ ในปี 2565 นี้ เป็นเทศกาลแห่งความสุข โดยยึด 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1) ครอบครัวปลอดภัย ผู้ที่จะไปหาครอบครัวที่ต่างจังหวัด หรือครอบครัวที่อยู่ต่างจังหวัด ควรได้รับวัคซีน 2) ชุมชนปลอดภัย ให้ศูนย์ปกติการระดับตำบล อำภอ กรรมการโรคติดต่อจังหวัด เข้ามาช่วยดูแลโดยมีมาตรฐานตามที่กรมอนามัยกำหนด และ 3) กลับบ้านปลอดภัย เมื่อเดินทางกลับมาย้านให้กำชับดูแลตนเอง ถ้ามีอาการให้ตรวจ ATK ทันที

ร่วมแสดงความคิดเห็น