ข่าวปลอม! ยึดใบขับขี่ไม่คืนต้องสอบใหม่

ข่าวปลอม! หากโดนยึดใบขับขี่ จะไม่ได้คืนต้องไปสอบใหม่ 

วันที่ 23 เม.ย. 65 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันว่าเป็นข่าวปลอม เพิ่มเติม 1 กรณีคือ

กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องหากโดนยึดใบขับขี่ จะไม่ได้คืนต้องไปสอบใหม่  ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคมพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากกรณีที่มีผู้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ใครที่โดนยึดใบขับขี่จะไม่ได้คืนแล้วนะ ต้องไปสอบใหม่ ทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากหากประชาชนผู้ใช้รถขับรถฝ่าฝืนกฎหมายจราจร เจ้าพนักงานจราจรจะออกใบสั่ง ซึ่งผู้กระทำความผิดจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อชำระค่าปรับตามฐานความผิดให้เรียบร้อย ดังนั้น หากโดนถูกยึดใบขับขี่ จะไม่ได้คืน จึงไม่เป็นความจริง 
สำหรับกรณีที่ได้รับใบสั่งจากกล้องบันทึกการทำความผิดอัตโนมัติ กรณีนี้จะไม่มีการยึดใบขับขี่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งใบสั่งไปยังที่อยู่เจ้าของรถ เพื่อให้ดำเนินการชำระค่าปรับตามกฎหมาย และหากมีการแอบอ้างว่าใบอนุญาตขับรถสูญหาย เพื่อเจตนาขอใบอนุญาตขับรถใบใหม่ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและกรมการขนส่งทางบกจะไม่ดำเนินการออกใบอนุญาตขับรถฉบับใหม่ให้เด็ดขาด เนื่องจากใบอนุญาตขับรถที่ถูกยึดไว้ยังคงมีผลตามกฎหมาย

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของกรมการขนส่งทางบก สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.dlt.go.th เฟซบุ๊ก “กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News” หรือโทร. 02 2718888

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากหากประชาชนผู้ใช้รถขับรถฝ่าฝืนกฎหมายจราจร เจ้าพนักงานจราจรจะออกใบสั่ง ซึ่งผู้กระทำความผิดจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อชำระค่าปรับตามฐานความผิดให้เรียบร้อย 

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน
5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

ร่วมแสดงความคิดเห็น