กมธ.ปปช. สั่งสอบท่าน้ำเถื่อนริมแม่น้ำสาย

กมธ.ปปช. สั่งสอบท่าน้ำเถื่อนริมแม่น้ำสาย ต้นตอของเถื่อน-หลบหนีเข้าเมือง

วันที่ 9 พ.ค. 65 ณ ห้องประชุมที่ว่าการ อ.แม่สาย จ.เชียงราย นายจารึก ศรีอ่อน และนายสุทา ประทีป ณ ถลาง รองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ นำกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ชายแดนภาคเหนือหลายจังหวัด และระหว่างวันที่ 9-10 พ.ค.ได้เดินทางไปตรวจสอบเรื่องปัญหาชายแดนที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างด้าว ทั้งการทุจริตเรื่องการทำบัตรประจำตัวประชาชน การสวมบัตร การเรียกเก็บเงินค่าทำบัตรจากชาวต่างด้าว ปัญหาที่ดินและอื่นๆ ซึ่งพบว่าในการประชุมเพื่อรับทราบปัญหา ได้มีนายปรีชา ศรีเพชร อดีตปลัด อ.แม่สาย และมีบ้านอยู่ในชุมชนบ้านเกาะทรายติดกับลำน้ำสายชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ได้ยื่นคำร้องว่าในช่วงที่มีการปิดพรมแดนเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้มีท่าน้ำหลายแห่งที่ติดลำน้ำสายลักลอบขนสินค้าหนีภาษี เช่น สุราต่างประเทศ บุหรี่ และผู้คนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย โดยบางแห่งเป็นของมารดาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) คนหนึ่งอีกด้วย

นายปรีชา กล่าวว่าที่ผ่านมามีท่าน้ำที่มีผู้เข้าไปหาผลประโยชน์หลายแห่ง เช่น ท่า 18 มงกุฏ เพราะมีเจ้าของจำนวนถึง 18 คน ท่าวัดเกาะทราย ซึ่งมีซอยผ่านชุมชน ท่าเป๊อะหว่าง ท่าเจ๊ดาวซึ่งเป็นมารดาของ ส.ส.คนหนึ่ง สภาพพื้นที่เดิมเป็นเวิ้งน้ำ แต่ช่วง 2 ปีมานี้กลับมาการเข้าไปปิดล้อมโดยกลุ่มคนดังกล่าว ท่าป่ากล้วย ซึ่งถือเป็นท่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีการลักลอบขนรถจักรยานยนต์ สุรา บุหรี่ และอื่นๆ อย่างคึกคัก โดยมีการล้อมรั้วพื้นที่เอาไว้แล้วเช่นกัน ฯลฯ

ทั้งนี้บางท่ามีการสร้างตึกสูงบังด้านหน้า ซึ่งทางอำภอและท้องถิ่นกลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ตนจึงขอให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะเกรงว่าเมื่อมีการเปิดด่านพรมแดนจะทำให้คนทะลักผ่านท่าน้ำเหล่านี้ตามมาด้วย โดยมีการเรียกเก็บเงินคนข้ามฝั่ง หัวละ 10,000-15,000 บาท ส่วนท่าน้ำในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านก็มีการแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง ทั้งนี้ปัญหาเรื่องที่ดินติดชายแดนเหล่านี้ ตนได้ต่อสู้เรียกร้องมาหลายรัฐบาลแล้ว แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน

นายปรีชา ยังกล่าวอีกว่า ตนอยู่ในพื้นที่ตนทราบดี โดยเมื่อเดือน พ.ค.2564 ตนเห็นคนเดินข้ามฟากมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านตามกันมาเป็นแถวยาว 15-18 คน พร้อมสัมภาระ ตนคิดว่าเป็นขโมยจึงออกไปดูพบทั้งหมดเดินไปยังท่าน้ำฝั่งไทย ตนจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการไปถึงพื้นที่ภายใน 5 นาที แต่ปรากฎว่าตำรวจเข้าไปตรวจสอบภายในไม่ได้ เพราะเป็นบ้านทำให้คนกลุ่มนี้เดินข้ามน้ำกลับไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างอุกอาจ จากนั้นคนเหล่านี้ก็ลักลอบข้ามมายังฝั่งไทย และไปถูกจับที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง ซึ่งจากการที่ตนได้สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ทราบว่าสัญญานโทรศัพท์ของคนหลบหนีกลุ่มนี้มาจากจุดที่ลักลอบข้ามน้ำมาดังกล่าวนั่นเอง

ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ ได้รับทราบข้อมูลจากนายปรีชาและด้านอื่นๆ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นได้ร่วมกับหนวยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปตรวจสอบที่ท่าน้ำบ้านเกาะทราย ซึ่งพบว่ามีการสร้างเป็นอาคารคอนกรีตยื่นลงไปกลางลำน้ำสายที่คับแคบและตื้นเขิน โดยมีซอยเข้าออกเชื่อมกับถนน เช่นเดียวกับฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ที่มีอาคารหนาแน่นในลักษณะเดียวกัน ทำให้ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และนำข้อมูลไปชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกับบุคคลและผู้แทนที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมศาลากลาง จ.เชียงราย ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ต่อไป ทั้งนี้ในการประชุมจะมีทั้งเรื่องเรื่องท่าน้ำเถื่อน การปลูกสร้างอาคารบริเวณท่าน้ำ ที่อาจใช้ลักลอบขนแรงงานต่างด้าวและสินค้าเถื่อนโดยพุ่งเป้าไปยังท่าน้ำบ้านเกาะทราย หมู่ 7 ต.แม่สาย อ.แม่สาย รวมถึงเรื่องการตรวจสอบสัญชาติไทยของผู้ที่ถูกร้องเรียนด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น