สาระน่ารู้… หญิงวัยเจริญพันธุ์ เสี่ยง! กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

1

โรคกระเพาะปัสสาวะ คือภาวะที่มีอาการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างที่ประกอบด้วยกระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนี้มักเกิดกับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 20-50 ปี โดย 50 % ของผู้หญิงมีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสักครั้งในชีวิต

สาเหตุที่พบโรคนี้ในผู้หญิง ได้มากกว่าผู้ชาย เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชายมาก มีความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ 1. ดื่มน้ำน้อย 2. ชอบกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ 3. หลังมีเพศสัมพันธ์ ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การอักเสบติดเชื้อช่องคลอด 4. สวนล้างช่องคลอด 5. หมดประจำเดือน 6. ต่อมลูกหมากโตในผู้ชายวัย 50 ปีขึ้นไป 7. กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ 8. เบาหวาน ผู้ที่มีความคุ้มกันบกพร่อง สูบบุหรี่ 9. คนชรา 10. ผู้ป่วยโรคนิ่ว 11. ผู้ที่เคยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ 12. การคุมกำเนิดโดยยาฆ่าอสุจิ ฝาครอบปากมดลูก (Diaphragm)

อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่พบคือ ปัสสาวะแสบ ขัด ปวดท่อปัสสาวะ , ปวดท้องน้อย , ปัสสาวะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมีปัสสาวะน้อย , ปัสสาวะไม่สุด , ปัสสาวะมีสีขุ่น กลิ่นเหม็น , ปัสสาวะมีเลือดปน และกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ

การวินิจฉัย 1. การซักประวัติตรวจร่างกาย 2. การตรวจน้ำปัสสาวะ และ การเพราะเชื้อน้ำปัสสาวะ จะพบเม็ดเลือดขาวและแบคทีเรียในเชื้อปัสสาวะ

การรักษา 1. การใช้ยาฆ่าเชื้อ (ปฏิชีวนะ) ซึ่งมีหลายชนิด ระยะเวลาส่วนใหญ่ ประมาณ 3-7 วัน ถ้าโรคมีความซับซ้อนต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ประมาณ 10-14 วัน โดยจำเป็นต้องรับประทานยาให้ถูกต้องครบตากำหนด เพื่อป้องกันเชื้อดื้อต่อยา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะอาการดีขึ้น ภายใน 2-3 วัน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงจำเป็นต้องมาพบแพทย์ก่อนนัด เพื่อปรับยาฆ่าเชื้อหรือต้องรักษาวิธีอื่นเพิ่มเติม 2. ผู้ป่วยต้องดื่มน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 8-10 แก้ว เพื่อจะให้ปัสสาวะขับเชื้อแบคทีเรียออกมา 3. รับประทานยาลดอาการปวดเกร็งท้องน้อย ทำให้อาการปวดท้องน้อยปัสสาวะบ่อยดีขึ้น

การป้องกัน 1. ดื่มน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร 2. งดกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ 3. งดสวนล้างช่องคลอด ล้างเฉพาะบริเวณด้านนอกและซับให้แห้ง 4. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ด้วยถุงยางอนามัย 5. ตรวจพบแพทย์เมื่อมีอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง เพื่อหาสาเหตุอื่นแอบแฝงที่เป็นสาเหตุ ให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต 6. ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 7. ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเองเป็นประจำเพราะจะทำให้เป็นเชื้อดื้อยาได้ง่าย

นพ.สุทธิพันธ์ วงศ์วนากุล
ศัลยแพทย์ฯ รพ.แมคคอร์มิค

ร่วมแสดงความคิดเห็น