นานาสาระ ชีวิตนี้ขาดหวานไม่ได้ จริงหรือ?

44
สำหรับคนที่ชอบกินของหวาน คงตอบว่า “ชีวิตนี้ขาดหวานไม่ได้” แต่หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณอาจเปลี่ยนความคิดนี้ใหม่เป็น “ชีวิตนี้ขาดหวานไม่ได้ แค่หวานน้อยๆ แต่หวานนานๆ”

ในการดำรงชีวิตเราจะขาดน้ำตาลไม่ได้ เพราะพลังงานในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ 70% มากจากน้ำตาล ซึ่งน้ำตาลกลูโคสนั้นจำเป็นต่อการทำงานของสมอง และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย แต่ถึงร่างกายจะต้องการพลังงานมากถึง 70% จากน้ำตาล ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกินน้ำตาลในปริมาณมากๆ ตามไปด้วย เพราะน้ำตาลและความหวานนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ทำให้มะเร็งลุกลาม และยังทำให้เกิดสภาวะกรดในร่างกายอีกด้วย

คุณกินน้ำตาลวันละกี่ช้อนชา?จากงานวิจัยพบว่า ประเทศไทยกินหวานมากที่สุดในโลก รองจากประเทศบราซิล โดยคนไทย 1 คน กินน้ำตาลถึง 36 กิโลกรัมต่อปี หรือวันละ 25 ช้อนชา โดยปกติแล้วเราไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 9-10 กิโลกรัมต่อปี หรือ 6 ช้อนชาต่อวันน้ำตาลแทบไม่มี

ประโยชน์เลย เพราะน้ำตาลคือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งปกติเราทานอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอื่นๆ เช่น แป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง พวกนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอยู่แล้ว การกินน้ำตาลเพิ่มจากในอาหารปกติ แค่วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำตาลก็จะถูกเผาผลาญไปเป็นพลังงานแบบพอดี

อันตราย จากการกินหวานมากเกินไป!!

อ้วน เพราะถ้าเรากินน้ำตาลเพิ่มจากอาหารปกติเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ร่างกายจะเผาผลาญไม่หมด น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันส่วนเกิน ทำให้เราอ้วนขึ้น โดยเฉพาะ สะโพก ก้น ขาอ่อน และหน้าท้อง

ส่งผลเสียกับระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง ผลที่ตามมาคือ ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย เจ็บป่วยได้ง่าย เช่น มีความดันเลือดสูงขึ้น ปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ

ทำให้ร่างกายดื้อกับอินซูลิน ไม่ยอมเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไขมัน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง จนทำให้กลายเป็นเบาหวานได้ในที่สุด

เบื่ออาหาร เพราะวิตามินบีในร่างกายถูกใช้ไปมาก จะส่งผลทำให้น้ำย่อยและน้ำลายลดน้อยลง ทำให้เบื่ออาหารและทานได้น้อยลง

ผิวหนังเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย เพราะน้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจน และลดปริมาณของฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น ลดความยืดหยุ่น และอ้วนได้

ทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น หากเป็นภูมิแพ้ อาการของโรคภูมิแพ้จะมีความรุนแรงเป็น 2 เท่า หรือทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็น อยู่มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคทุกชนิดจะใช้น้ำตาลเป็นอาหาร และน้ำตาลยังเป็นแหล่งอาหารของเซลล์มะเร็ง เป็นอาหารของยีสต์ในลำไส้ ทำให้ยีสต์เพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้เกิดภาวะไส้รั่วได้

ร่วมแสดงความคิดเห็น