ชี้โอกาส ผลิตภัณฑ์ไทย หลังเปิดค้าเสรี

b2 w=18h=6
นักการตลาดและผู้ชำนาญการตลาด AEC ชี้โอกาสของผลิตภัณฑ์ไทย หลังเปิดตลาด AEC เผยไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนน้อยที่สุดใน AEC อยู่ที่ 2.8% ขณะที่เมียนมาและลาวมีการลงทุนมากที่สุด 9% ชี้ธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร ความงาม สุขภาพ เป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาด AEC ทั้งนี้ประเทศในอาเซียนเกือบทุกประเทศยังมีความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ไทยต้องเร่งปรับตัวให้เร็วที่สุดหากไม่อยากพลาดโอกาส

เมื่อเร็วๆนี้ อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักการตลาดชื่อดังและผู้ชำนาญการตลาด AEC เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ หัวข้อเรื่อง “โอกาสของผลิตภัณฑ์ไทย หลังเปิดตลาด AEC” ในงาน กิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านการค้าระหว่างประเทศเจาะตลาดอาเซียน “AEC Smart Move : รู้ทิศ พิชิตโอกาส ก้าวสู่ตลาดอาเซียนอย่างยั่งยืน” ภายใต้โครงการพัฒนาและสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดอาเซียนในภูมิภาค ณ โรงแรมอีสติน ตัน เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย กล่าวว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นพื้นที่ที่หน้าลงทุนมากที่สุด แต่ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนน้อยที่สุดใน AEC เมียนมาและลาวมีการลงทุนมากที่สุด 9% รองลงมาคือ กัมพูชา 8% เวียดนาม 6.7% มาเลเซีย 5.5% อินโดนีเชีย 6.4% เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศจีนซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจกำลังตกต่ำอยู่ที่ 6.3% แต่ของไทยอยู่ที่ 2.8% นั้นก็หมายความว่า อนาคตการค้าของผู้ประกอบการไทยอยู่นอกประเทศเป็นอย่างแน่นอน ทั้งนี้ประเทศใน AEC ที่น่าสนใจที่สุดคือ ประเทศเมียนมาร์ ในอนาคตประเทศจีนจะหลั่งไหลเข้ามาลงทุนประเทศไทยเป็นจำนวนมาก การที่จะเข้าไปลงทุนที่ประเทศไหนต้องรู้ว่าประเทศนั้นมีการตลาดใหญ่ขนาดไหน นอกจากนี้ต้องเข้าไปสำรวจธุรกิจที่มีอยู่ในประเทศ และต้องศึกษาว่าคนในประเทศนั้นมีความต้องการอะไร

b1 w=4.5h=5
อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย

อาจารย์ธันยวัชร์ กล่าวต่อว่า ซึ่งธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร ธุรกิจที่เกี่ยวกับความงาม ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเด็ก ธุรกิจที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษา ธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้หญิง ทั้งนี้ผู้ประกอบต้องมีความสามารถที่จะผสมผสานธุรกิจเหล่านี้ให้เข้ากันให้ได้อย่างลงตัว เพราะฉะนั้นในการทำธุรกิจจะต้องมีการผสมระหว่างธุรกิจต่างๆเข้าด้วยกัน เช่น จะไปทำธุรกิจในญี่ปุ่นก็ต้องทำธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ อาจจะนำธุรกิจอาหารมาผสมกับธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุก็ได้ เป็นต้น ประเทศในอาเซียนเกือบทุกประเทศมีความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในขณะนี้คนฟิลิปปินส์กำลังแห่งกันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด แต่ในทางตรงกันข้ามประเทศไทยในขณะนี้มีกำลังซื้อที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากสินค้าทางการเกษตรของไทยซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด การส่งออกของไทยก็มีสถานการณ์ที่แย่ลง เนื่องจากประเทศทางยุโรปไม่ต้องการสินค้าส่งออกจากไทย

ทั้งนี้ประเทศที่น่าลงทุนที่สุดมากที่สุดคือ ประเทศพม่า และการจะเข้าไปทำธุรกิจในพม่า ควรทำธุรกิจที่เกี่ยวกับความงาม ธุรกิจเกี่ยวกับยารักษาโรค และอีกประเทศหนึ่งที่น่าเข้าไปลงทุนคือ มาเลเชีย และการจะเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน นักลงทุนจะต้องโฟกัสประเทศที่จะเข้าไปลงทุน ไม่ใช่เข้าไปทำหมดทุกประเทศ ต้องเข้าไปดูตัวที่เป็นจุดเด่นในธุรกิจนั้นๆ ซึ่งจะสามารถนำเอาจุดเด่นตรงนี้เข้าไปบุกตลาด AEC ได้เพราะส่วนแบ่งทางการตลาดยังต่ำ และถ้าต้องการจะบุก AEC ต้องทำสินค้าให้เป็นสากล นอกจากนี้แล้วต้องมีชื่อแบรนด์ที่สั้น ถ้าจะส่งสินค้าออกนอกประเทศต้องให้มีชื่อที่มีความเป็นสากล และต้องสำรวจผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยว่าสามารถไปได้หรือไม่ ต้องรู้ว่าต้องการบุกกลุ่มไหน ต้องสำรวจว่าสินค้ามีความสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ และถ้าจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ต้องทำสินค้าให้ถูกและดี อาจารย์ธันยวัชร์ กล่าวส่งท้าย

ร่วมแสดงความคิดเห็น