กว่าจะถึงวันนี้

กีฬา2ชัยชนะเหนือ ซันเดอร์แลนด์ 2-0 ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เข้าไปอีก เมื่อนำหน้า สเปอร์ส 7 แต้ม ขณะที่เหลืออีก 5 เกม

นั่นหมายความว่า หาก “สุนัขจิ้งจอก” ตัวนี้ชนะอีกแค่ 3 นัด ก็จะการันตีแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ความดีความชอบส่วนหนึ่ง (ส่วนสำคัญมากด้วย) คือตัวกุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่

กุนซือชาวอิตาเลียน คือผู้ที่เข้ามาปลุกจิ้งจอกตัวนี้ ที่ฤดูกาลก่อนยังหนีตกชั้น ให้ก้าวขึ้นมาเป็นเต็งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ภายในเวลาอันรวดเร็ว เกินหน้าเกินตาทีมยักษ์ใหญ่ขาประจำทั้งหลาย

แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ รานิเอรี่ ก็เคยผ่านการคุมทีมมากมาย ที่สำคัญคือเขายังไม่เคยพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เลย…

กุนซืออิตาเลียน จัดเป็นจอมเก๋าอีกคนของวงการ เขาเพิ่งเผชิญมรสุมชีวิตเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เมื่อไม่ได้รับการต่อสัญญาจาก โมนาโก ทั้งที่เขาพาเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ ลีก เอิง ในฤดูกาลแรกที่เข้ารับงาน และเป็นรองแชมป์ลีกฝรั่งเศส จากนั้นเดือนพฤศจิกายน เขาก็โดนทีมชาติกรีซไล่ออก หลังจาก 4 นัดภายใต้การคุมทัพของเขา ไม่ชนะเลย แถมพ่าย หมู่เกาะแฟโร 0-1 สมันน้อยประจำทวีป ในศึกยูโร 2016 รอบคัดเลือก

หากใครติดตามประวัติของเขา จะรู้เลยว่า รานิเอรี่ ไม่เคยยอมแพ้โชคชะตา…

เขาเริ่มสร้างชื่อในถนนกุนซือช่วงปลายทศวรรษ 80 เมื่อนำ กายารี่ เลื่อนชั้นมาเล่นใน กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ทำให้ได้งานที่ นาโปลี ช่วงปี 1991–93 ซึ่งเขาปั้น จิอันฟรังโก้ โซล่า ขึ้นมาแทน ดีเอโก้ มาราโดน่า และทำให้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ แจ้งเกิดในลีกเมืองมะกะโรนี ก่อนจะไปคุม ฟิออเรนติน่า และพาทีมเลื่อนชั้นจาก เซเรีย บี ขึ้นสู่ เซเรีย อา จนได้แชมป์ โคปา อิตาเลีย ปี 1996

จากนั้นก็ไปทำงานในสเปนคุม บาเลนเซีย ช่วงปี 1997-99 ช่วยให้ครองแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ (1998) และ โกปา เดล เรย์ (1999) ก่อนย้ายไปคุม “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด แต่ลาออกหลังทำงานได้แค่ 8 เดือน เพราะผลงานย่ำแย่ กระทั่งเดือนกันยายน ปี 2000 รานิเอรี่ ก็มาคุม เชลซี ในพรีเมียร์ลีก และพาเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2002 เข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2003-04 รวมทั้งเป็นรองแชมป์ลีกฤดูกาลเดียวกัน
แม้จะนำทัพชนะ 107 เกมจาก 199 เกม ทำให้สโมสรกลับมามีลุ้นแชมป์ในรอบหลายปี แต่ผลงานไม่ถูกใจ โรมัน อบราโมวิช ซึ่งเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรตั้งแต่ปี 2003 ทำให้ รานิเอรี่ ต้องตกงานและเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ได้รับช่วงต่อจาก ในฤดูกาล 2004-05

ปี 2004 รานิเอรี่ กลับสเปนเไปคุม บาเลนเซีย แทนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งย้ายไป ลิเวอร์พูล แม้ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการซื้อนักเตะ ที่หลายคนราคาแพงแต่ผลงานไม่ดี จนโดนปลดเดือนกุมภาพันธ์ 2005 และว่างงานนานถึง 2ปี

ช่วงปี 2007-2012 เขากลับไปทำงานในบ้านเกิด เริ่มจาก ปาร์ม่า ที่ช่วยให้รอดตกชั้นในฤดูกาล 2006-07 ก่อนโยกไปคุม ยูเวนตุส แต่ร่วมงานกัน 2 ฤดูกาล เขาก็โดนปลดเพราะพาทีมไปไม่ถึงแชมป์ลีก แต่ปี 2009 โรม่า ก็จ้างให้ไปคุมทัพแทน ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ทำให้ “หมาป่า” ทำสถิติไม่แพ้ 23 เกมรวดในฤดูกาลแรกที่พวกเขาได้อันดับ 2 ของศึกเซเรีย อา แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2011 รานิเอรี่ ลาออกหลังลูกทีมโชว์ฟอร์มย่ำแย่ต่อเนื่อง

“งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน คือสถานีลูกหนังต่อมา ซึ่งเข้ามาคุมทีม จิอันปิเอโร่ กาสเปรินี่ แต่เดือนกันยายน แต่ยังไม่ทันจบฤดูกาล 2011-12 หลังจากชนะแค่ 2 จาก 13 แมตช์ แถมตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ต้องตกงานอีก

แม้ที่ผ่านมา รานิเอรี่ จะผ่านประสบการณ์แย่ๆ ในถนนสายกุนซือมาเยอะ แต่ครั้งนี้เขาได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อกำลังจะพาทีมเล็กๆ คว้าแชมป์ลีกที่แข็งที่สุดในโลก

นอกจากนี้ ยังปั้นนักเตะโนเนมอย่าง เจมี่ วาร์ดี้, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ และ ริยาด มาห์เรซ ให้กลายเป็นดาวเตะชื่อดังภายในฤดูกาลเดียว

เหลืออีกแค่นิดเดียว… รานิเอรี่ ก็จะได้สิ่งที่เขาถวิลหามาทั้งชีวิตแล้วครับ

เมทัล มิคกี้

ร่วมแสดงความคิดเห็น