แรกเริ่มมี “รถถีบ” ในเชียงใหม่

DSC_2282

ปัจจุบันดูเหมือนว่าความเจริญของบ้านเมืองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ที่สำคัญการดำเนินชีวิตของคนในอดีตก็เปลี่ยนไปโดยเฉพาะเมืองเชียงใหม่จากที่เคยเป็นเมืองเงียบสงบ ผู้คนมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย กลับกลายเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคเหนือ ภาพของคนในอดีตก็เลือนหายไปจากความทรงจำ

อดีตเมืองเชียงใหม่เมื่อราว 40 – 50 ปีที่แล้ว ยังเป็นเมืองเล็ก ๆ บ้านเรือนยังเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ชาวบ้านมักจะอาศัยการเดินเท้าหรือใช้เกวียนในการขนส่งสินค้า เมื่อเมืองเชียงใหม่มีความเจริญมากขึ้นมีการค้าขายกับเมืองต่าง ๆ จึงรับเอาความเจริญของที่อื่นเข้ามา โดยเฉพาะการค้ามีส่วนสำคัญทำให้เชียงใหม่เปลี่ยนแปลงไป

หลังจากการเข้ามาของรถจักรยาน หรือที่คนเชียงใหม่เรียกว่า “รถถีบ” ไม่นานท้องถนนของเชียงใหม่จากที่เคยมีขบวนเกวียน ผู้คนก็เปลี่ยนมาใช้รถถีบมากขึ้น หลัง ปีพ.ศ.2510 เมื่อทางราชการประกาศห้ามนำเกวียนเข้ามาในเมืองอีก รถถีบจึงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น

DSCF0204

เมื่อ ปีพ.ศ.2360 นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันชื่อ บารอน ดราแอส ได้สร้างรถจักรยานขึ้นสำเร็จเป็นคันแรกของโลก จากนั้นรถจักรยานจึงได้แพร่หลายออกไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษมีการตั้งโรงงานผลิตรถจักรยานขึ้นและส่งจำหน่ายออกไปทั่วโลก

โดยรถจักรยานคันแรกที่เข้ามาสู่ประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นเมื่อราวรัชกาลที่ 5 เมื่อ ปีพ.ศ.2423 ผู้ที่นำรถถีบข้ามน้ำข้ามทะเลสู่เมืองไทยเป็นคนแรกคือ พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ซึ่งท่านได้รับพระบรมราชโองการไปทำราชการที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษใน ปีพ.ศ.2421 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวอังกฤษกำลังตื่นตัวอย่างมากกับพาหนะสำคัญที่น่าทึ่งเหล่านี้ เมื่อเวลาเดินทางกลับประเทศไทยพระยาภาสกรวงศ์จึงไม่รีรอที่จะนำรถถีบกลับมาด้วย โดยท่านได้นำขึ้นน้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ไม่แน่ชัดว่ารถถีบรุ่นแรกที่นำเข้ามามีทั้งสิ้นกี่คัน แต่คงเป็นจำนวนไม่น้อยเพราะมีหลักฐานบันทึกว่า ปีพ.ศ.2456 พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปพันธ์พงศ์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรี ได้สั่งจักรยานเข้ามาจำหน่ายรุ่นแรกองค์ละ 100 คัน ทำให้เกิดการใช้รถจักรยานกันอย่างกว้างขวางถึงกับมีการรวมตัวกันตั้งเป็นสโมสรจักรยานขึ้นในวังพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงอดิศรอุดมเดชการ การจำหน่ายรถจักรยานในสมัยนั้นไม่มีบันทึกว่าเป็นรถยี่ห้ออะไร แต่มีประกาศโฆษณาขายจักรยานโดยผ่านประเทศสิงคโปร์ในยุคนั้น ปรากฏชื่อจักรยานตรา Royal Psycho

DSCF0203แม้จักรยานที่เข้ามาในเมืองไทยจะมีมากกว่า 60 ยี่ห้อ แต่คนไทยกลับให้ความเชื่อถือรถจักรยานอยู่เพียง 2 ยี่ห้อเท่านั้นคือ ฮัมเบอร์ (Humber) และ ราเล่ย์ (Raleigh) ประมาณ ปีพ.ศ.2495 รถฮัมเบอร์และราเล่ย์ ราคาคันละ 1,400 บาท

เมื่อแรกรถถีบยังไม่มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทย คงเรียกทับศัพท์กันว่า “ไบศิเกิล” หลังจากนั้นอีก 15 ปีเมื่อ พ.ศ.2438 นาย ก.ศ.ร. กุหลาบ จึงได้เรียกว่า “จักรยาน” ขึ้นเป็นคนแรกและชื่อนี้จึงได้แพร่หลายในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นรถจักรยานจึงได้แพร่หลายเข้ามาสู่เชียงใหม่ เมื่อรัฐบาลอังกฤษได้มีอิทธิพลทางการค้า อินเดียและพม่าตกเป็นเมืองอาณานิคม นักธุรกิจชาวอังกฤษมุ่งหน้าสู่ล้านนาด้วยธุรกิจป่าไม้ เหมืองแร่และใบยาสูบ การค้าขายในล้านนาเวลานั้น ใช้เงินรูปีของอินเดียและพม่าเป็นหลัก ชาวล้านนาเรียกว่า “เงินแถบ”

เมื่อการค้าคึกคักและชาวเมืองมั่งคั่ง รถถีบจึงเป็นพาหนะสำคัญทั้งในด้านความจำเป็นและการแสดงฐานะ รถถีบเข้ามาสู่เชียงใหม่โดยสองทางด้วยกันคือ บรรทุกรถไฟจากกรุงเทพฯสู่ปากน้ำโพแล้วถ่ายลงเรือทวนแม่น้ำปิงขึ้นมา ส่วนอีกทางมาจากอินเดีย บรรทุกเรือสู่อ่าวมะตะบันผ่านเมืองมะละแหม่งเข้าสู่ล้านนาทางบกด้วยขบวนวัวหรือม้าต่าง ด้วยวิธีการนี้ รถถีบบางยี่ห้อซึ่งไม่พบในกรุงเทพและภาคกลาง จึงกลับมาดาษดื่นในภาคเหนือ ทั้งลำพูน ลำปางและแพร่ ในเวลาต่อมา เมื่อรถไฟลอดอุโมงค์ขุนตานสำเร็จ รวมทั้งอิทธิพลของอังกฤษในล้านนาลดลง การขนส่งทางรถไฟจึงทวีความสำคัญขึ้น ห้างร้านในเชียงใหม่ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นตัวแทนเอเยนต์จำหน่ายให้กับผู้แทนการค้าในกรุงเทพฯ ห้างร้านสำคัญ ๆ ที่ยังยืนยงมาจนถึงปัจจุบันอย่างนิยมพานิชและตันตราภัณฑ์ รวมทั้งเลิกกิจการไปแล้วอย่าง เลี่ยวชุนหลี ล้วนต่างเป็นตัวแทนจำหน่ายรายสำคัญในยุคนั้นทั้งสิ้น

DSC_2304

น่าเสียดายว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อรถถีบรุ่นคลาสสิคเหล่านี้คืนสู่ความสนใจของผู้คนอีกครั้ง รถถีบในเชียงใหม่ถูกกว้านซื้อไปจำหน่ายต่อในจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ปริมาณรถถีบลดลงเท่านั้น ยังส่งผลเสียต่อการสืบค้นทางประวัติศาสตร์เพื่อความรู้เกี่ยวกับรถถีบในเชียงใหม่

ปัจจุบันมีกลุ่มคนที่เห็นความสำคัญของรถถีบโบราณ มีการออกมาตั้งเป็นกลุ่มเป็นชมรม เพื่ออนุรักษ์รถถีบที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่อย่างแพร่ในเชียงใหม่ให้ห้วนกลับมาดั่งเช่นในอดีตอีกครั้ง

DSC_4277DSC_3414

จักรพงษ์ คำบุญเรือง
[email protected]

ร่วมแสดงความคิดเห็น