สกู๊ปหน้า 1… สายสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น รำลึกความทรงจำ สมัยสงครามโลกฯ

111 เมื่อวันที่ผ่านมา ณ อนุสรณ์สถานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน นายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธาน ร่วมกับนายฮิซาโอะ โฮริโคะชิ กงสุล รักษาการแทนกงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ วางพวงมาลาบริเวณหน้าอนุสรณ์สถานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น เพื่อรำลึกถึงคุณความดีของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดงานเทศกาลสายสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ขุนยวม ขึ้น
ภายในงานได้จัดให้มีกิจกรรมผสมผสานวัฒนธรรมประเพณีของชาวญี่ปุ่นและชาวไทยใหญ่ในอำเภอขุนยวม เช่น การพับกระดาษโอริงามิ การฝึกสอนศิลปะการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่น “คาราเต้” การแสดงเต้นรำแบบญี่ปุ่นสลับการแสดงดนตรีพื้นบ้านชาวไทใหญ่ ประเพณีชงชาแบบญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมีการออกร้านจำหน่ายอาหารและสินค้าที่ระลึกของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและประเทศญี่ปุ่นอีกมากมาย มีการประกวดการแต่งกายของชาวญี่ปุ่นดั้งเดิมและชนเผ่าในอำเภอขุนยวม พร้อมทั้งประกวดสาวงามมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น 2559 ชิงเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมกันนี้ยังได้จัดให้มีการลงนามความตกลงระหว่าง นายฮิซาโอะ โฮริโคะชิ กงสุล รักษาการแทนกงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลขุนยวม และผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแพะพิทยา อำเภอแม่สะเรียง ที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีมติให้การสนับสนุนเงินงบประมาณในนามของโครงการความร่วมมือแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (หรือ จีจีพี) แก่โรงพยาบาลขุนยวมในการจัดซื้อรถพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำนวน 2,797,000 บาท และก่อสร้างหอพักนักเรียน มูลค่า 202,500 บาท ให้กับโรงเรียนบ้านแพะพิทยา อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน อีกด้วยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน

สำหรับการเปิดเทศกาลสายสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ดังกล่าว เนื่องจากอำเภอขุนยวม ปัจจุบันถือเป็นเมืองท่องเที่ยว เริ่มมีผู้คนให้ความสนใจเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวมีดอกบัวตองบานสะพรั่งเต็มขุนเขา ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวอำเภอขุนยวม แล้ว ยังเป็นการรำลึกถึงคุณความดีของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

222โดยรัฐบาลญี่ปุ่น ร่วมกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้สร้างพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น ขึ้น ณ อำเภอขุนยวม เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ไม่มีสถานที่ใดเหมือน เพราะเป็นการรำลึกถึงทหารญี่ปุ่นที่เดินทัพมาตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่อำเภอขุนยวมในระยะเวลายาวนาน ตลอดช่วงเวลานั้นไม่มีภาพความโหดร้ายของสงคราม หรือภาพการสู้รบ แต่เป็นภาพแห่งความผูกพันแน่นแฟ้น ซึ่งความผูกพันและมิตรภาพนั้นยังคงมีมาสืบเนื่องตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าทหารญี่ปุ่นที่มาพำนักอยู่ในบริเวณนี้ บางคนได้แต่งงานกับหญิงชาวไทย สร้างครอบครัวด้วยกัน คล้ายตำนาน “คู่กรรม-โกโบริและอังศุมาลิน” ซึ่งปัจจุบันนี้ทายาทของคู่นี้ยังมีชีวิตอยู่สืบสานเล่าตำนานของครอบครัวสองแผ่นดินจนเป็นที่เลื่องลือ โดยในพิพิธภัณฑ์ จะมีการนำอาวุธยุทโธปกรณ์ เสื้อผ้า และรูปภาพของทหารญี่ปุ่นและประวัติความเป็นมาเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นและชาวไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เป็นอย่างดี

ร่วมแสดงความคิดเห็น