กรมเกษตรเดินหน้า ขึ้นทะเบียนไม้กฤษณา

b4-w9h6-11กรมวิชาการเกษตรเร่งขึ้นทะเบียนแปลงปลูกกฤษณา ชี้เป็นไม้เศรษฐกิจ ตลาดตะวันออกกลางต้องการสูง หนุนเกษตรกรสร้างอาชีพเสริม

ดร.วราภรณ์ พรหมพจน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า “กฤษณา” เป็นพืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 และเป็นพืชในบัญชีแนบท้ายของอนุสัญญาไซเตส (CITES) ซึ่งการส่งออก นำเข้า หรือนำผ่าน ต้องขออนุญาตไซเตสจากกรมวิชาการเกษตร ดังนั้น เพื่อให้การผลิตและการค้ากฤษณาถูกต้องตามกฎหมาย และสอดคล้องกับกฎระเบียบไซเตส กรมวิชาการเกษตรจึงได้เร่งขึ้นทะเบียนแปลงปลูกกฤษณาเพื่อการค้านำร่อง 4 จังหวัด คือ ปราจีนบุรี นครนายก จันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกฤษณาแหล่งใหญ่ของประเทศ

ดร.วราภรณ์ กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตร ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กลุ่มวิจัยอนุสัญญาไซเตสด้านพืช สำนักคุ้มครองพันธุ์พืช จัดทำหน่วยเคลื่อนที่หรือโมบายยูนิต ลงพื้นที่รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกกฤษณาเพื่อการค้า ขณะเดียวกันยังอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนแปลงปลูกกฤษณาเพื่อการค้า และเร่งจัดทำระบบการขึ้นทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่านทางออนไลน์เพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนแปลงปลูกกฤษณาที่มีจำนวนมาก นอกจากนั้น ยังเร่งมอบใบสำคัญการขึ้นทะเบียนให้เกษตรกร โดยมีอายุการรับรอง 5 ปี เพื่อให้สามารถทำการค้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวต่อไปว่า กฤษณาเป็นไม้เศรษฐกิจที่ตลาดโลกมีความต้องการสูง ทั้งในรูปชิ้นไม้กฤษณา น้ำมันกฤษณา กล้าไม้กฤษณา รวมถึงผงขี้เลื่อยที่สกัดน้ำมันแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลางมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากไม้กฤษณาจำนวนมาก ทั้งชิ้นไม้และน้ำมันกฤษณา เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล บาห์เรน และคูเวต ขณะที่ชาวมุสลิมทั่วโลกมีความต้องการเครื่องหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันกฤษณาค่อนข้างสูง ส่วนตลาดจีน ฮ่องกง และไต้หวันจะนำเข้าผงไม้กฤษณาเพื่อทำธูปหอม ทั้งยังมีการนำเข้าชิ้นไม้และน้ำมันกฤษณาไปเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรและกำยานด้วย นับเป็นตลาดที่น่าสนใจเนื่องจากจีนมีประชากรจำนวนมาก” รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าว

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแปลงปลูกกฤษณาเพื่อการค้า สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยอนุสัญญาไซเตสด้านพืช สำนักคุ้มครองพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2940-5687

ร่วมแสดงความคิดเห็น