ไผ่หวาน ไร่สวนอินทรีย์ จ.แพร่ เป็นที่นิยม

p-111

สวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้ง ที่กำลังเป็นที่นิยมของ นายวรรณบดี รักษา ทำสวนแบบไร่นาสวนผสม บ้านเลขที่ 91 หมู่ 4 ต.แม่จั๊วะ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ที่ได้รับการยอมรับของกลุ่มปลูกไผ่เป็นอย่างดี และเป็นที่รู้จักของชาวเกษตรกรและชาวจังหวัดแพร่ ที่เขาได้ทำเกษตรในที่ดินของตนเอง 18 ไร่ และเช่าที่ดินติดกันอีก 24 ไร่ ได้ทำเกษตรมา 15 ปีกว่าแล้ว ช่วงนี้ก็เริ่มมีรายได้จากการขายผลผลิต มากบ้างน้อยบ้าง

p-114

วันนี้เรามารู้เรียนรู้กับประสบการณ์การปลูกไผ่บงหวาน ไร่ไผ่บงหวานของนายวรรณบดี เริ่มทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยได้เช่าพื้นที่ใน อ.เด่นชัย ทำเกษตรผสมผสาน โดยเริ่มที่พื้นที่ 5 ไร่ก่อน และพืชหนึ่งในนั้นก็คือไผ่บงหวาน และได้ทดลองปลูก ในพื้นที่ 1 ไร่ โดยใช้พันธุ์ไผ่จำนวน 200 ต้น โดยได้ซื้อพันธุ์มาจาก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่แต่ก็ไม่ทราบอายุของไผ่บงหวานว่าจะให้หน่อไปได้อีกกี่ปี โดยจุดประสงค์ของการปลูกครั้งแรกเพื่อใช้หน่อไว้เป็นอาหาร ไม้ไว้ทำค้างผักต่างๆและค้างผลไม้ที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าอยู่

ถึงตอนเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่ปลูก ปรากฏว่าหน่อไผ่บงหวานที่ขุดไปทดลองขายที่กิโลกรัมละ 50 บาทในตลาดใกล้ๆบ้าน มีลูกค้าสนใจซื้อไปรับประทานเยอะจนไม่พอขายก็เลยต้องการที่จะปลูกเพิ่ม และได้ทราบข้อมูลจากลูกค้าบางคนว่าที่จังหวัดเลยก็มีสายพันธุ์ลักษณะเช่น นี้อยู่ จึงเดินทางไปที่จังหวัดเลย และได้ซื้อพันธุ์ไผ่บงหวานที่เพาะจากเมล็ดมาจากเขตอำเภอภูเรือมาส่วนหนึ่ง เมื่อนำมาปลูกแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือ จึงกลับไปหาซื้ออีกครั้ง แต่เที่ยวนี้ไปได้เมล็ดไผ่บงหวานที่กำลังตายขุ๋ยจากบ้านชาวบ้านในเขตอำเภอภู เรือจึงนำกลับมาเพาะที่สวน

และนำลงไปปลูกจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด 20 ไร่นอกจากนี้ยังมีญาติพี่น้องของภรรยาเริ่มปลูกตาม รวมมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 33 ไร่ ในสวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้งพบว่าต้นที่ปลูกจากเมล็ดมีหลายลักษณะ กระจายตัวอยู่ พบต้นไผ่บงหวานที่มีลักษณะรสชาติขมประมาณ 0.5% ทางสวนได้ทำการขุดออกทิ้งทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบต้นที่มีลักษณะทั้งหน่อเล็กและหน่อใหญ่ปะปนกันอยู่ หลังจากปลูกได้ 3 ปี การเก็บหน่อจำหน่ายจากต้นที่เพาะเมล็ดพบว่าผลผลิตต่ำมากเพราะมีต้นที่ให้ หน่อที่เล็กมากเป็นส่วนใหญ่ พบต้นที่ให้หน่อใหญ่ราวๆ 0.5 % ซึ่งทั้งๆที่ต้นแม่ที่ตายขุ๋ยก็ต้นใหญ่และให้หน่อใหญ่หน่อละไม่ต่ำกว่า 500กรัม จึงสรุปได้ว่าไผ่บงหวานที่เพาะเมล็ดแล้วนำมาปลูกใหม่มีการกลายพันธุ์ที่ กระจายตัวสูงมากและได้ลักษณะที่ด้อยกว่าต้นแม่ถึง 99 % จึงได้ค้นคว้าปรับปรุงพันธุ์ก่อนจึงพอเข้าใจ และตั้งใจว่าจะต้องคัดสายพันธุ์ที่ให้ลักษณะที่ดีและทราบอายุ จึงจะทำให้ผู้เขียนและญาติๆพี่น้องของภรรยาได้พันธุ์ไผ่บงหวานที่ดีและทราบ อายุของไผ่บงหวานที่ปลูก

ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งที่ปลูกมีลักษณะเด่นอยู่ที่หน่อไผ่มีรสชาติไม่ขมมี ลักษณะหวานกรอบ ไม่มีเส้นใย เนื้อของหน่อละเอียดมีกลิ่นหอมเมื่อปรุงสุก กลิ่นคล้ายๆข้าวโพดหวาน หน่อ สามารถกัดชิมดิบๆแล้วไม่ขมติดลิ้นเหมือนไผ่พันธุ์อื่นๆ ทำให้นำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูโดยหั่นสดๆแล้วทำอาหารได้เลยไม่ต้องต้ม น้ำทิ้งก่อน อาทิ ลวกหรือย่างจิ้มน้ำพริก ผัดน้ำมันหอย หน่อบงหวานผัดกุ้ง ชุบแป้งทอด ร่วมกับผักสลัด ทำแกงเขียวหวาน ต้มจืดกระดูกหมู หรือจะแกงเหมือนหน่อไผ่พันธุ์อื่นๆ

ไผ่บงหวานขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและขุดแยกเหง้า โดยทั่วไปแล้วไผ่บงหวานชอบดินร่วนปนทราย แต่ถ้าหากไม่ใช่ดินร่วนปนทราย ก็สามารถปลูกได้โดยการปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ ลักษณะเด่นของไผ่บงหวานเพชรผึ้ง

หน่อที่เกิดจากต้นที่โตเต็มที่แล้วมีน้ำหนัก 500 กรัมขึ้นไป หน่อมีลักษณะอวบอ้วน เปลือกของหน่อมีลายเขียวสลับเขียวอ่อนและชมพู ออกหน่อดกและออกได้เรื่อยๆตลอดทั้งปีถ้ามีระบบการจัดการน้ำที่ดี ลำต้นโตเต็มที่สูงประมาณ 7-12 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 2-3 นิ้วมีรสชาติที่ดี หวานนิดๆ หอม กรอบ คล้ายๆยอดมะพร้าว หรือจะเรียกว่าหน่อยอดมะพร้าวก็ได้ เพราะรสชาติไม่เหมือนหน่อไม้เลย

p-115

การเตรียมพื้นที่ปลูก

ให้ไถดะในที่ดินเพื่อกำจัดวัชพืชก่อนจากนั้นก็ไถแปร ถ้าเป็นที่นาให้ยกร่องเพื่อระบายน้ำในช่วงฝนตกชุก โดยยกร่องห่างกันประมาณ 6-7 เมตร ปลูกที่ริมร่องน้ำห่างจากร่องน้ำราวๆ 1 เมตร แปลงหนึ่งปลูกได้ 2 แถว ถ้าเป็นที่สวนหรือที่สภาพไร่มีการระบายน้ำดี ก็ไม่ต้องยกร่อง ควรจะปลูกในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคมจะดีที่สุด เพราะจะเก็บหน่อครั้งแรกหลังจากปลูก ใช้เวลา 8 เดือนก็ตรงกับเดือนมกราคมของปีถัดไป จะทำให้ขายหน่อได้ราคาดี
แต่ถ้าเป็นที่นาที่กังวลต่อการขังของน้ำที่โคนไผ่ ก็ให้เลี่ยงไปปลูกในเดือนตุลาคม แต่เกษตรกรต้องให้น้ำในช่วงฤดูแล้ง พอฤดูฝนมาถึงไผ่ที่ปลูกก็จะทนต่อน้ำฝนที่ตกหนักได้ ไผ่แทบทุกชนิดจะกลัวน้ำขังโคนในช่วงที่ไผ่ยังเล็กอยู่เพราะมีรากน้อยมาก
การปลูก ปลูกในระยะระหว่างต้น 2 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร โดยพื้นที่ 1 ไร่จะใช้ต้นไผ่บงหวาน 200 ต้น โดยขุดหลุมกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร ลึก 30 เซนติเมตร จากนั้นคลุกหลุมปลูกด้วยขี้เถ้าแกลบเพื่อเก็บความชื้นจะทำให้ไผ่บงหวานโต เร็วขึ้น ถ้าจะใช้ปุ๋ยคอกเก่ารองก้นหลุมก็ให้คลุกให้เข้ากันก่อน ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมประมาณ 1 กำมือ ถ้าใส่มากกว่านี้ต้นจะเหลืองและโตช้าเพราะรากไผ่ที่เกิดใหม่มีน้อยและยัง อ่อนอยู่ เมื่อเตรียมหลุมเสร็จก็นำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูก โดยให้กลบดินให้เสมอกับดินเดิม ถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้งก็ปลูกลึกกว่าดินเดิมได้เล็กน้อย หลังจากปลูกให้รดน้ำทันทีให้ชุ่ม ต่อไปก็ให้รดน้ำทุกๆ 3 วันจนกว่าฝนจะตกชุก ถ้าเกษตรกรปลูกตรงกับฤดูแล้งควรจะหาฟางข้าว หรือวัสดุคลุมดินอื่นๆคลุมที่โคนไผ่ จะทำให้ต้นไผ่ไม่ขาดน้ำและเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง
การให้น้ำ
การให้น้ำควรจะให้น้ำด้วยการขังให้ท่วมแปลงแล้วปล่อยให้แห้งภายใน หนึ่งวัน หรือให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ก็ได้ ซึ่งการให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ จะช่วยทำให้ได้ไนโตรเจนในอากาศเพิ่ม ทำให้ไผ่ออกหน่อดกมากขึ้น ในช่วงนอกฤดู ควรให้น้ำ 3-4 วัน ต่อครั้งแต่ละครั้งเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ถ้าตรวจดูแล้วยังไม่ชุ่มก็ต้องเพิ่มเวลาไปอีก เพราะดินแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นช่วงฤดูฝน การให้น้ำควรดูตามสภาพอากาศ ถ้าฝนตกเรื่อยๆ ดินชื้นตลอดไม่ต้องให้น้ำ ถ้าฝนขาดช่วง สังเกตว่าดินแห้งก็ค่อยให้น้ำ แต่หากว่าจะทำไผ่บงหวานให้ออกหน่อทั้งปีหรือออกทะวายก็ต้องมีน้ำให้พอใช้ ช่วงที่หน่อไม้อื่นๆยังไม่ออก ถ้าเกษตรกรทำให้หน่อไม้ไผ่บงหวานออกมาได้ก็จะทำให้ได้ราคาสูง
การให้ปุ๋ย
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเช่น มูลวัว มูลควาย มูลไก่ มูลหมู และวัสดุที่เหลือจากภาคเกษตรกรรมเช่นฟางข้าว ซังข้าวโพด แกลบ ขี้เถ้าแกลบ ขี้เถ้าจากชานอ้อยเผา กากถั่วเหลือง เป็นต้น ใส่ที่โคนไผ่กอละ หนึ่งกระสอบปุ๋ย หรือประมาณ 30 กิโลกรัม ปีละ 2 ครั้ง ใส่ช่วงเดือนธันวาคมก่อนให้น้ำและใส่เดือน พฤษภาคม นอกจากนี้ทางสวนใช้ปุ๋ยหมักจากกากยาสูบ ที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานยาสูบและขี้เถ้าจากการเผากากอ้อยที่หีบแล้ว ที่ทางโรงงานน้ำตาลใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาเตาต้มน้ำเพื่อทำอุตสาหกรรม น้ำตาลทรายมาเป็นวัสดุใส่โคนไผ่ เพื่อช่วยในการอุ้มน้ำให้มีความชุ่มชื้น และช่วยทำให้ดินร่วนซุย ไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้ง สามารถแทงหน่อออกมาง่าย หน่อขาวอวบ ไม่แข็งต่างจากที่ไม่มีวัสดุคลุมโคนไผ่ ส่วนการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ จะให้เสริมในช่วงฤดูแล้งและหน่อไม้มีราคาสูง เพราะจะทำให้หน่อไม้ไผ่บงหวานมีขนาดหน่อใหญ่และดกขึ้น เนื่องจากได้สารอาหารครบตามความต้องการ ควรจะใช้ปุ๋ย 46-0-0 อัตรา 50 กรัมต่อกอ สลับกับ 8-24-24 อัตรา 50 กรัมต่อกอโดยให้ทุกๆ 15 วัน แต่พอช่วงฤดูฝน ความอุดมสมบรูณ์ของดินจะมีมากขึ้นก็ไม่ต้องให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
ไผ่บงหวานที่ปลูกพบไม่ค่อยพบโรคของไผ่มากวน ทำให้ต้นทุนสารเคมีไม่มี แต่แมลง พบหนอนม้วนใบบ้างเล็กน้อย ไม่มีผลเสียหายต่อต้นไผ่ แต่ถ้าไม่ต้องการให้ระบาดก็ตัดใบที่เป็นหนอนม้วนใบไปทิ้งไกลๆหรือเผาทำลาย นอกจากนี้ยังพบเพลี้ยอ่อนไผ่ได้บ้างเล็กน้อยในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวและ ฤดูร้อน แต่พอหมดฤดูหนาวเพลี้ยอ่อนก็จะหายไป นอกจากแมลงแล้วยังพบหนูและตุ่น หากเกษตรกรปล่อยให้สวนไผ่บงหวานรก ก็จะมีหนูมากินหน่อไม้ ทำให้เราได้ผลผลิตลดลง เกษตรกรต้องอย่าปล่อยให้สวนรก คอยกำจัดกิ่งไผ่และวัชพืชให้หมดเป็นระยะ ก็จะไม่มีหนูมารบกวน พอมีหนูมารบกวนก็จะมีงูเห่ามากินหนูอีกทีทำให้งูเข้ามาอยู่ในสวนไผ่
เคล็ดลับของการขุดหน่อไผ่
การขุดหน่อไผ่บงหวานเพชรน้ำผึ้งเกษตรกรต้องใช้เสียมลับให้คมเวลาขุดหน่อจะ ได้ไม่ช้ำ เมื่อจะขุดให้เขี่ยวัสดุที่คลุมหน่อไผ่ออกให้เห็นโคนของหน่อ แล้วใช้เสียมแทงให้ขาด ควรให้ติดส่วนของเหง้ามาสัก 2 เซนติเมตร เพื่อกำจัดเนื้อไม้ที่ยังอ่อนซึ่งเป็นที่อยู่ของตากิ่งแขนงข้าง แต่ถ้าไม่เอาตาข้างที่อัดแน่นกันอยู่ออกให้หมด ก็จะมีกิ่งแขนงเล็กๆขึ้นอยู่ทำให้กอไผ่รกใต้ และจะส่งผลทำให้ตาหน่อไม่สามารถแทงหน่อได้ ทำให้ไม่ค่อยมีผลผลิต

ซึ่งตอนนี้ทางสวนได้รับการ สนับสนุนจากหน่วยงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดแพร่ สำนักงานเกษตรจังหวัดแพร่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ครูเกษตรกร เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร และผู้ที่สนใจการปลูกไผ่ เข้ามาศึกษาเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพได้อีกทางหนึ่ง สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือศึกษาดูงาน ติดต่อได้ที่สวนไผ่หวานเพชรน้ำผึ้ง นายวรรณบดี รักษา โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 083-2663096 ,087-8387334

ท.การเกษตร

ร่วมแสดงความคิดเห็น