วงการนี้ง่ายไม่ได้ ต้องยาก และรอบคอบ

111สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติบางอย่างเกี่ยวกับการเล่นพระไปพอสมควร ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากความง่ายของผมเอง ไม่ว่าจะเป็นซื้อง่าย ให้ยืมง่าย แล้วสุดท้ายก็พลาดเอง เอาเรื่องแรกก่อน ให้ยืมง่าย ปกติชีวิตเซียนพระ อย่างที่ทราบกันดีครับ หลายท่านใช้วิธีหมุนเงินเล่นพระ พอไม่ทันก็ต้องไปหยิบยืมจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนรอบข้างที่เรียกว่าเพื่อนในวงการพระ เหตุที่ต้องเป็นเพื่อนในวงการพระ เพราะเขาคนนั้นดูพระเป็น ประเมินราคาพระได้ เพราะฉะนั้นการยืมเงินที่ปลอดภัยมากที่สุด คือการเอาพระเครื่องไปวางเป็นประกันเอาไว้ว่าไม่ได้ยืมเพียงปากเปล่าเท่านั้น ผมเอง ก็เป็นคนหนึ่งที่ดูพระเป็น เล่นพระ และเช่าพระ บางครั้งก็มักจะมีเพื่อน และมิตรสหายในวงการพระเข้ามาหา เพื่อหยิบยืมเงินบ้าง ด้วยความง่ายที่หนึ่งที่เกริ่นในตอนแรก คือ ให้ยืมง่าย ผมก็มักจะให้ยืมเสมอ ขอเพียงแต่เอาพระมาวางไว้เป็นหลักประกันว่าจะไม่เบี้ยว พอเอาเงินมาคืน ก็เอาพระกลับไป

สมมติว่าเพื่อนจะยืมเงิน 50,000 บาท เขาก็จะเลือกพระที่มีมูลค่ามากกว่านั้นมาวางเป็นประกัน สมมติว่าราคาประเมินพระทั่วไปเท่ากับ 80,000 บาท แต่จะมายืมเงิน 50,000 บาท อันนี้ตัดสินใจได้ไม่ยาก พอเอาพระใส่กล่องมายื่นให้ ผมก็จ่ายเงิน ให้ยืมไปโดยไม่คิดมาก และไม่ดูให้ละเอียด ด้วยความที่นับถือกันเป็นเพื่อน ผ่านไปหนึ่งเดือน ก็ไม่เป็นไร คิดว่าเดี๋ยวคงมาเอา แต่พอผ่านไป 3 เดือน ก็เริ่มผิดสังเกต แต่พอ 6 เดือน ก็เริ่มแน่ใจว่ามันไม่มาเอาคืนแน่ ผมก็กะว่าจะแกะกรอบทองออกเพื่อนำทองไปขาย ส่วนพระก็จะนำเอาไปปล่อยให้คนสนใจเช่าต่อ คือคิดว่าอย่างไรก็คงไม่ขาดทุนแน่ พอแกะกรอบออกมาเท่านั้นแหละ สิ่งที่เห็นโดยไม่ต้องตะแคงส่องผ่านกรอบพลาสติกนั่นคือรอยซ่อมด้วยดินที่มีสีใกล้เคียงกัน แปะติดไว้ที่ขอบ ที่มีรอยแหว่งมาเดิม 2-3 จุด แต่เมื่อพระถูกเลี่ยมพลาสติกปิดเอาไว้ โอกาสที่จะมองเห็นชัดเจนจึงแทบจะไม่มี หรือแม้จะเห็นก็คงไม่เชื่อว่าจะโดนหลอกจากคนที่มีความเชื่อถือในวงการนี้

สรุปง่ายๆ คือโดนครับ พระซ่อม ซ่อมมาค่อนข้างดี ให้จำไว้ว่า ราคาพระสภาพสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยชำรุด กับพระชำรุด ราคาต่าง กันมาก สรุป คือ มาขอยืมเงินห้าหมื่น แต่เอาพระซ่อมราคาสองหมื่นห้ามาวางเป็นประกันแล้วตั้งใจจะไม่มาเอาตั้งแต่แรก สรุปคือ กำไร สองหมื่นห้า กับการเอาพระซ่อมมาวาง+เครดิตที่สะสมมานานของตนเอง งานนี้ผมขาดทุนเน้นๆ แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับโดนนิด หน่อย ถือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย แล้วเราก็จำเอาไว้ว่าต่อไปว่าคนคนนี้เครดิตที่เคยมีก็กลายเป็นศูนย์ครับ

เรื่องต่อมาความง่ายที่สอง ซื้อง่าย อย่างที่เคยบอกไป ช่วงที่ผ่านมาผมซื้อหาเช่าพระจากนักสะสมค่อนข้างเยอะ บางรายเช่าทีเป็นร้อยองค์ ใช้เงินเยอะพอสมควร แต่เนื่องจากผมเองก็เป็นครึ่งพ่อค้า ครึ่งนักสะสม หลายองค์ที่อยากได้อยากเก็บ เห็นพระแล้วก็อดเช่าไม่ได้ทุกที เพราะบางองค์ต้องเก็บก็เก็บไว้ บางองค์ก็ปล่อยต่อได้ เวลาเข้าไปซื้อของจากนักสะสม ผมชอบซื้อเร็วครับ ใช้กล้องน้อย ใช้การคำนวณราคาเยอะ เพราะกลัวว่าถ้าคิดช้า มักจะต้องซื้อแพงเสมอ ผมมักจะคำนวณทุกอย่างออกมาเป็นตัวเงิน เช่นซื้อ 10 เหรียญ ราคาเท่านี้ ต้องขายกี่เหรียญจะได้ทุน และได้กำไรอีกกี่เหรียญที่เหลือ หลายครั้งที่ผมมักจะเชื่อ และใช้วิธีการประเมินความแท้ในรังแต่ละรังจากการมองพระชุด หรือสองชุดแรก หลังจากนั้นเมื่อทราบว่าโอกาสแท้มีมากเท่าไหร่ เราก็จะประเมินคร่าวๆ ได้ว่า ความเสี่ยงที่ตามมาควรจะมีอยู่กี่มากน้อย บางครั้งก็นั่งคิดเองว่า โห!! ซื้อมาได้ยังไงวะ เหมือนกับไม่ได้ใช้ตาดูเลย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ด้วยการประเมินแบบนี้แหละ ผมคิดว่าบ้านนี้ยังไงซะก็คงมีพระแท้เกือบทั้งหมด พอได้เห็นพระกรุจังหวัดบ้านเกิดอยู่ในกล่อง ผมก็รีบหยิบมาโดยไม่ส่องเลย เพราะเชื่ออยู่ในใจว่า พระแบบนี้เมื่อก่อนไม่มีเก๊ เจ้าของพระก็ถาม พระแบบนี้ให้เท่าไหร่ ผมบอกให้สามหมื่นครับ ผมก็หยิบเงินสามหมื่นจ่ายไป โดยไม่ยอมแกะกรอบออกมาส่องดูด้านหลัง ด้านข้าง ใช้วิธีการดูด้วยตาเปล่าแล้วซื้อ หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้านก็จัดแจงแกะกรอบเงินที่หุ้มอยู่ออก พร้อมกับแกะพลาสติกที่หุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่งออก หยิบพระมาวางบนมือ พลิกไปพลิกมา อ้าว!! นี่พระเก๊นี่หว่า สรุปงานนี้โดนไปเบาะๆ สามหมื่นบาท

มาคิดดูอีกทีนี่ยังถือว่าเป็นบทเรียนที่ยังมีราคาไม่แพงนัก ทำให้ผมกลับมานั่งคิดได้ว่า การซื้อพระจะซื้อจากใครก็ตาม ต้องละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ เพราะวันนั้นถ้าผมยอมแกะพระออกมาจากกรอบ แล้วส่องดูให้ละเอียด รับรองว่าเงิน 30,000 บาท ยังอยู่ครบแน่นอน นานๆ โดนทีไม่เป็นไรครับ ถือเป็นค่าเล่าเรียน แต่ถ้าโดนบ่อยๆ ค่าเล่าเรียนขนาดนี้ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

ณัฐพล โอจรัสพร
www.siamboran.com

ร่วมแสดงความคิดเห็น