แม้แนวโน้มเงินฝากขยายตัวเร่งขึ้นท้ายปี แต่การแข่งขันยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง

b-2

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสสุดท้ายของปีมีโอกาสเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนล้านบาท และจบปีที่อัตราการเติบโตที่ระดับ 2.0% ตามแรงหนุนของปัจจัยด้านฤดูกาลที่ลูกค้ามักพักเงินในเงินฝากออมทรัพย์ช่วงท้ายปีเพื่อรักษาสภาพคล่องไว้รองรับการใช้จ่ายในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ที่น่าจะมีความต้องการพักเงินเพิ่มเติมจากปีก่อนๆ เพื่อรอจังหวะการเข้าลงทุนเพิ่มเติมเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น นอกจากนั้น แรงกดดันจากการไหลออกของเงินฝากยังมีแนวโน้มลดลงเทียบกับปีก่อน โดยการครบกำหนดของเงินฝากประจำในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีจำนวนราว 1.4 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่มีปริมาณราว1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์น่าจะสามารถออกแคมเปญเงินฝากเพื่อประคองปริมาณเงินฝากประจำไว้ได้ใกล้เคียงกับระดับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ 9 เดือนแรกของปี 2559 หดตัวลง 0.1% จากสิ้นปีก่อนหน้า แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการออกแคมเปญเงินฝากที่หนาแน่นขึ้นเทียบกับปีก่อนเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์เงินฝากเดิมที่ครบกำหนด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีโอกาสจบปี 2559 ที่อัตราการเติบโตใกล้ระดับ 2.0% ตามแรงหนุนของปัจจัยด้านฤดูกาลที่ลูกค้ามักพักเงินในผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ช่วงท้ายปี โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่รอจังหวะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต ขณะที่ การแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เหลือของปีคงประคองตัวจาก 9 เดือนแรก เนื่องจากความต้องการใช้สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับต่ำ

777

ส่วนสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันต่อเงินฝากรวม (CASA) ในช่วงสิ้นปีคงปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า 60% จากระดับ 57.3% ณ สิ้นปี 2558จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ที่สูงขึ้นกว่าเงินฝากประจำ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการแสวงหาผลตอบแทน (Search For Yield) ของกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังสะท้อนผ่านอัตราการเติบโตของเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ ทางเลือกการออมอื่นเช่นกองทุนรวมและประกันชีวิต

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาพรวมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 แนวทางการระดมเงินฝากในช่วงที่ผ่านมา และประเมินทิศทางเงินฝากในช่วงที่เหลือของปี โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้

ภาพรวมเงินฝาก 9 เดือนแรก…เงินฝากหดตัวจากปีก่อน แม้การออกแคมเปญเงินฝากจะหนาแน่นขึ้น

ข้อมูลเบื้องต้นจาก ธพ.1.1 บ่งชี้ว่าเงินฝากช่วง 9 เดือนแรกของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศหดตัวลง 0.1% จากสิ้นปีก่อนหน้า (YTD)มาอยู่ที่ระดับราว11.24ล้านล้านบาท หรือลดลง 1.1 หมื่นล้านบาทจากปีก่อนหน้าโดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำในกลุ่มลูกค้าผู้ฝากเงินรายย่อย ภาคธุรกิจ และกองทุนต่างๆขณะที่ เงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ยังเติบโตได้จากปีก่อน ซึ่งทำให้สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ (CASA) ขยับขึ้นมาที่ระดับ 59.9% ของเงินฝากรวมของธนาคารพาณิชย์ เทียบกับระดับ 57.3% ณ สิ้นปี 2558

ทั้งนี้ แม้ภาพรวมเงินฝากจะหดตัวลงเล็กน้อย แต่จำนวนแคมเปญเงินฝากในช่วง 9 เดือนแรกกลับหนาแน่นขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

  • จำนวนแคมเปญเงินฝากพิเศษเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 13 ผลิตภัณฑ์ เทียบกับปี 2558 ที่เฉลี่ยเดือนละ 8 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การออกแคมเปญเงินฝากส่วนใหญ่ของธนาคารพาณิชย์คงมุ่งเป้าเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์เงินฝากเดิมที่ครบกำหนดและสร้างความหลากหลายให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการจัดสรรเงินออม มากกว่าจะเพื่อแข่งขันระดมเงินฝากหรือชิงฐานลูกค้ากับธนาคารอื่นๆ
  • ส่วนรูปแบบแคมเปญเงินฝาก เน้นหนักไปที่เงินฝากพิเศษระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี เป็นหลัก และมีส่วนผสมของเงินฝากพิเศษระยะปานกลาง 1 – 2 ปีบ้างเพื่อตอบโจทย์การออมของลูกค้า ส่วนแคมเปญเงินฝากพิเศษระยะนานกว่า 2 ปี มีค่อนข้างจำกัด
  • ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มปรับลดลงเทียบกับต้นปี 2558 สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของธนาคารที่ปรับลดลงและมุมมองของธนาคารพาณิชย์ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยของผลิตภัณฑ์เงินฝากระยะกลางมีแนวโน้มปรับลดลงมากกว่าผลิตภัณฑ์เงินฝากระยะสั้นขณะที่ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(สเปรด) สำหรับผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำพิเศษระหว่างกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก มีแนวโน้มแคบลงเมื่อเทียบกับอดีต โดยสเปรดผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษระยะสั้นของแบงก์ใหญ่กับแบงก์กลางปรับลดลงจาก 0.2 – 0.25% ในปีก่อนมาที่ระดับ 0.10 – 0.20% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ สเปรดระหว่างแบงก์ใหญ่กับแบงก์เล็กปรับลดลงมาที่ระดับ 0.3 – 0.35% จากปีก่อนที่ 0.32 – 0.52%ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าทิศทางการปรับลดลงของดอกเบี้ยดังกล่าว สะท้อนถึงการบริหารสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่เน้นการบริหารในระยะสั้นถึงระยะกลางควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายให้ใกล้เคียงกับรายได้ดอกเบี้ยรับจากสินเชื่อเพื่อประคองความสามารถในการทำกำไร222

แนวโน้มเงินฝากปิดปี 2559…คาดขยายตัวได้ 2% จากการพักเงินตามปัจจัยด้านฤดูกาล

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสสุดท้ายของปีมีโอกาสเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนล้านบาท และจบปีที่อัตราการเติบโตที่ระดับ 2.0% ตามแรงหนุนของปัจจัยด้านฤดูกาลที่ลูกค้ามักพักเงินในเงินฝากออมทรัพย์ช่วงท้ายปีเพื่อรักษาสภาพคล่องไว้รองรับการใช้จ่ายในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ที่น่าจะมีความต้องการพักเงินเพิ่มเติมจากปีก่อนๆ เพื่อรอจังหวะการเข้าลงทุนเพิ่มเติมเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น นอกจากนั้น แรงกดดันจากการไหลออกของเงินฝากยังมีแนวโน้มลดลงเทียบกับปีก่อน โดยการครบกำหนดของเงินฝากประจำในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีจำนวนราว 1.4 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่มีปริมาณราว1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์น่าจะสามารถออกแคมเปญเงินฝากเพื่อประคองปริมาณเงินฝากประจำไว้ได้ใกล้เคียงกับระดับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559

  • ส่วนทิศทางการแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงท้ายปี…คงอยู่ในบรรยากาศประคองตัวดังเช่นในช่วง 9 เดือนแรกของปี ท่ามกลางความต้องการใช้สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระดับต่ำจากการปล่อยสินเชื่อซึ่งเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่า แม้การทำการตลาดของธนาคารพาณิชย์อาจลดความหวือหวาลงบ้างเพื่อประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ธนาคารพาณิชย์จะยังคงนำเสนอแคมเปญเงินฝากพิเศษที่มีความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การออมของแต่ละกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ชูจุดขายเรื่องอัตราดอกเบี้ยสูง โดยเฉพาะเงินฝากระยะกลางที่อาจเห็นธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กกลับมาแข่งขันด้านราคาเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษฟรีค่าธรรมเนียม ผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษปลอดภาษี ตลอดจนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษเมื่อเปิดบัญชีควบคู่กับผลิตภัณฑ์อื่นเพื่อรับมือกับผลิตภัณฑ์เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พันธบัตรออมทรัพย์ และผลิตภัณฑ์ประหยัดภาษีอื่นๆ ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงท้ายปี
  • สัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันต่อเงินฝากรวม (CASA) ในช่วงท้ายปีนี้ คงปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า 60% จากระดับ 57.3% ณ สิ้นปี 2558จากการเติบโตของเงินฝากประเภทออมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นกว่าเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ดี แม้เงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันจะเร่งขึ้น แต่แนวโน้มการแสวงหาผลตอบแทน (Search For Yield) ของกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังสะท้อนผ่านอัตราการเติบโตของเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงเช่นกองทุนรวมและประกันชีวิต ซึ่งบ่งชี้ว่าการเติบโตของเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันที่สูงกว่าเงินฝากประจำนั้น อาจเป็นผลจากความต้องการพักเงินระยะสั้นและความต้องการสภาพคล่องของผู้ออมเป็นหลัก ส่วนการแสวงหาผลตอบแทนจากการออมนั้น ผู้ออมอาจเลือกลงทุนในช่องทางการออมอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ
  • ขณะที่ ในระยะกลางถึงยาวศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธนาคารพาณิชย์อาจต้องปรับสัดส่วน CASA ลงจากปัจจุบันเพื่อให้เหมาะสมกับเกณฑ์ LCRทั้งนี้ เนื่องจากเกณฑ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ตาม Basel III กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนระยะกลางและระยะยาวที่มั่นคง ซึ่งหมายถึงธนาคารพาณิชย์อาจต้องให้น้ำหนักกับผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำระยะกลางและยาวเพิ่มขึ้น และทยอยปรับลดสัดส่วน CASA ลงในอนาคต แต่ทั้งนี้ เพราะสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่สูงกว่าที่เกณฑ์ LCR กำหนดค่อนข้างมาก ทำให้แต่ละธนาคารสามารถบริหารเงินฝากและปรับลดสัดส่วน CASA แบบค่อยเป็นค่อยไปได้โดยไม่กระทบต่อทิศทางเงินฝากและสภาพคล่องของธนาคารโดยรวม

โดยสรุป แม้การเติบโตของเงินฝากที่ระดับ 2.0%ในปี 2559จะเป็นอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำซึ่งสอดคล้องกับสินเชื่อที่เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยจำนวนแคมเปญเงินฝากที่คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะทยอยผลักดันเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องแล้ว คงช่วยเพิ่มทางเลือกในการออมได้มากขึ้น นอกเหนือไปจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ กองทุนรวม และประกัน เพื่อความครบถ้วนในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การออมและตอบโจทย์เรื่องผลตอบแทนไปพร้อมๆ กัน

เงิน

ร่วมแสดงความคิดเห็น