สักการะพระธาตุแช่แห้งเมืองน่าน

ไม่มีใครเคยคิดว่าเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกสุดของภาคเหนือที่ชื่อเมืองน่านนั้น จะซุกซ่อนตัวเองในท่ามกลางระหว่างเทือกเขาผีปันนํ้า และหลวงพระบาง บ่มเพาะเก็บงำเรื่องราววัฒนธรรมประเพณีอันเป็นรากเหง้าของตัวเองได้สมบูรณ์แบบจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีที่ใดเหมือน

ด้วยความที่เมืองน่านถูกโอบล้อมด้วยภูดอยนี่เอง ทำให้มีลำนํ้าเล็กๆ อยู่มากมายก่อให้เกิดแม่นํ้าหลายสาย ทั้งยังมีประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนล้านนาอันอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน

ศิลปวัฒนธรรมของชาวไทลื้อเมืองน่าน ถูกถ่ายทอดในงานจิตรกรรมปรากฏตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะงานจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ถือได้ว่าผลงานระดับมาสเตอร์พีทของช่างสกุลล้านนา ที่บรรจงแต่งแต้มเรื่องราวทางพุทธชาดกเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม ใครก็ตามที่ไปเยือนเมืองน่านแล้วไม่ได้เที่ยววัดภูมินทร์ก็เหมือนว่าเที่ยวเชียงใหม่แล้วไม่ได้ไปดอยสุเทพยังไงยังงั้น วัดแห่งนี้หาง่ายอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานงาช้างดำคู่บ้านคู่เมือง จะแวะไปดูก่อนก็ไม่เสียหาย ส่วนในวัดภูมินทร์ที่เด่นสุดก็คือ พระวิหารและอุโสบถในหลังเดียวกันทรงจตุรมุข มีนาคสะดุ้งแห่แหนรอบพระอุโบสถงดงามมาก ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานจตุรพักตร์และฝาผนังด้านในโบสถ์มีภาพเขียนจิตรกรรมล้านนาที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว นักวิชาการสันนิษฐานว่าเป็นผลงานของช่างชาวไทลื้อที่มีอายุไม่ตํ่ากว่า 150 ปี

ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของวัดพระบรมธาตุแช่แห้ง ปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่านมาช้านาน พระบรมธาตุแห่งนี้มีอายุราว 600 ปีเป็นโบราณสถานที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในแผ่นดินล้านนา ทุกๆ ปีจะมีงานนมัสการพระบรมธาตุแช่แห้ง ระหว่างวันขึ้น 11 คํ่าถึง 15 คํ่าเดือน 6 เหนือ หรือประเพณีเดือน 6 เป็งไหว้สาพระธาตุแช่แห้ง

พระบรมธาตุแช่แห้ง เป็นศาสนสถานที่มีมานาน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองน่านมีเจ้าผู้ครองนครติดต่อกันจำนวน 64 พระองค์ แต่เริ่มมีความเด่นชัดในสมัยพระกานเมือง ครองเมืองน่านระหว่างปี พ.ศ.1896-1906 ซึ่งตรงกับสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ครองกรุงสุโขทัย พระมหาธรรมราชาลิไทได้เกณฑ์พระยากานเมืองไปสร้างวัดหลวงอภัยขึ้น ณ สถานที่ตั้งของสวนหลวงที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช โปรดให้ปลูกมะม่วง ต่อมาภายหลังวัดแห่งนี้ได้ชื่อว่า “วัดป่ามะม่วง”

หลังจากเสร็จภาระกิจทั้งปวง พระมหาธรรมราชาลิไทได้มอบพระบรมธาตุให้แก่พระยากานเมือง พร้อมพระราชทานพระพิมพ์เงิน พระพิมพ์ทองอย่างละ 20 องค์ เพื่อนำไปประดิษฐานที่เมืองวรนคร ครั้นเมื่อพระยากานเมืองกลับถึงเมืองวรนครแล้วจึงได้นำความปรึกษาหารือกับพระมหาเถระธรรมบาล สังฑราชในยุคนั้น ว่าควรจะบรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์และเทวดาพึงกราบไหว้ไว้ในแผ่นดินวรนคร ณ ที่แห่งใด พระมหาเถระธรรมบาลได้กราบทูลว่า ภูมิสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินมหาบพิตรก็คือ เนินศรีภูเพียง

พระยากานเมือง จึงโปรดให้สร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นและได้อัญเชิญพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ ให้ชื่อว่าพระธาตุศรีภูเพียง ปี พ.ศ.1902 พระยากานเมืองจึงได้ย้ายเมืองวรนครมาตั้งอยู่บริเวณบ้านหนองเต่า หากสืบไปภายหน้าบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้น ก็สามารถขยายเมืองให้กว้างขวางออกไปจนถึงเขตเมืองแพร่ ทว่าในปี พ.ศ.1911 แม่นํ้าน่านได้เปลี่ยนสาย เมืองวรนครของพระยากานเมืองเกิดความแห้งแล้งขาดนํ้า พระยาผากอง โอรสของพระยากานเมืองจึงได้ย้ายเมืองอีกครั้งมาตั้งที่บ้านห้วยไค้ทางฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าน่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองในปัจจุบัน ปล่อยทิ้งให้พระธาตุศรีภูเพียงตั้งอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งริมฝั่งน่านนที ที่เปลี่ยนสาย ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกชื่อพระธาตุองค์นี้ว่า “พระธาตุแช่แห้ง”

ทุกๆ ปี เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 เหนือ ชาวเมืองน่านจึงพร้อมใจกันจัดงานเทศกาลนมัสกาลพระธาตุแช่แห้ง หรือที่รู้จักชื่อในงาน “6 เป็งไหว้สา พระธาตุแช่แห้ง” เพื่อน้อมนำเอาพุทธศาสนามาปกป้องเมืองน่านให้ร่มเย็นเป็นสุข และให้ชาวเมืองน่านตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี

งาน “6 เป็งไหว้สา พระธาตุแช่แห้ง” แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาต่อพุทธศาสนาของชาวบ้าน พอใกล้ถึงวันงาน พุทธศาสนิกชนจากต่างถิ่นจะพากันเดินทางรอนแรมมาพักค้างคืนบริเวณศาลารายรอบองค์พระธาตุอยู่ก่อนหลายวัน เพื่อที่จะมาใส่บาตรและสักการะองค์พระบรมธาตุ ในพงศาวดารเมืองน่านตอนหนึ่งบันทึกเกี่ยวกับศรัทธาของชาวเมืองน่านที่มารอร่วมทำบุญในงาน 6 เป็งไหว้สา พระธาตุแช่แห้งว่า สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองเมืองน่าน (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2395-2434) มีการนำบอกไฟมาจุดบูชาพระบรมธาตุแช่แห้ง โดยต้องใช้เวลานานถึง 3 วัน 3 คืนถึงจะหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของพุทธศาสนาของคนเมืองน่านที่เนืองแน่นขนัด

และหากอยากรู้ว่าแรงศรัทธาของคนเมืองน่านนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ลองไปสัมผัสได้ด้วยตัวเองในงานประเพณี “6 เป็งไหว้สา พระธาตุแช่แห้ง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม แล้วบางทีเราอาจรับรู้ด้วยตาว่า แรงศรัทธาของคนเมืองน่านนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

จักรพงษ์ คำบุญเรือง
[email protected]

ร่วมแสดงความคิดเห็น