แม่ค้าขายของออนไลน์ถึงคิว โดนสรรพากรเรียกเก็บภาษี

พ่อค้า-แม่ค้าขายของออนไลน์-อีคอมเมิร์ซ เตรียมตัวโดนกรมสรรพากรเก็บภาษี หลังคลอดโปรแกรมจับตรวจธุรกิจ มั่นในจทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมเป็นไปตามเป้าหมายในงบประมาณ 2560

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมได้พัฒนาโปรแกรมสำหรับตรวจผู้ประกอบการที่ค้าขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซ โดยจะเข้าตรวจผู้ประกอบการหรือร้านค้าที่มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีร้านค้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซระดับหมื่นร้านค้า รวมไปถึงผู้ที่ขายสินค้าผ่านไลฟ์โซเชียล เช่น การขายเสื้อผ้าผ่านการถ่ายทอดสดในเฟซบุ๊ค เพราะถือว่าเป็นผู้มีรายได้ หากถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็ต้องเสียภาษี

สำหรับโปรแกรมจับตรวจธุรกิจอีคอมเมิร์ซเริ่มใช้งานแล้วหลักการคือกรมจะต้องตรวจสอบว่าผู้ประกอบการหรือร้านค้าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ และจะมีการเข้าสุ่มสั่งซื้อสินค้า เพื่อตรวจสอบว่ามีการออกใบกำกับภาษีหรือไม่ การเสียภาษีของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หากเป็นประเภทบุคคลธรรมดาก็ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากรายได้ถึงเกณฑ์ตามที่กำหนด เช่นเดียวกับผู้ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ด้วย

นอกจากนี้กรมได้เสนอแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้กับกระทรวงการคลังพิจารณา สาระสำคัญคือจะตรวจเข้มสถานประกอบการร้านอาหารกลางคืนมากขึ้น ซึ่งกรมจะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจร้านค้ากลางคืน ทั้งร้านอาหาร ผับบาร์ โดยหลักการเดียวกันกับอีคอมเมิร์ซ คือ จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปสั่งอาหาร และขอใบกำกับภาษีจากร้านค้าต่างๆ ว่ามีและถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องก็จะเข้าตรวจสอบการเสียภาษี

ทั้งนี้ คาดว่าจากการตรวจจับที่เข้มข้นมากขึ้นทั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และธุรกิจร้านอาหารกลางคืน จะทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมเป็นไปตามเป้าหมายในงบประมาณ 2560 ที่ 1.86 ล้านล้านบาท หลังจากที่จัดเก็บในรอบ 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 6,000 ล้านบาท

นายประสงค์ย้ำว่ากรมจะให้ความรู้กับผู้ประกอบการที่ยังเสียภาษีไม่ถูกต้อง และยังไม่เข้ามาจดแจ้งเป็นบัญชีเดียว สำหรับการดำเนินมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการบัญชีเดียวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%

กรมขอเตือนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ยังไม่ทำบัญชีเดียวให้รีบดำเนินการให้ถูกต้อง เพราะปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งหมด 2.6 ล้านราย แต่ทำบัญชีเดียว 1 ใน 3 เท่านั้น ที่เหลืออีก 2 ใน 3 หรือกว่า 60% ยังมีหลายบัญชี ซึ่งไม่เป็นผลดีกับผู้ประกอบการ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 สถาบันการเงินจะนำแบบยื่นเสียภาษีมาใช้ในการพิจารณาการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ

สำหรับการขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ที่มีรายได้ในปี 2559 คาดว่าจะสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท หรือสูงกว่าปีที่ผ่านมา1 หมื่นล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากรัฐบาลออกมาตรการลดหย่อนภาษีหลายอย่าง เช่น ภาษีช็อปช่วยชาติ ภาษีเที่ยวทั่วไทย ล่าสุดมีผู้ยื่นภาษีมาแล้ว 3 ล้านราย มีผู้ขอคืนภาษี 1.7 ล้านราย มีการคืนภาษีผ่านระบบพร้อมเพย์ไปแล้ว 7 แสนราย และคืนภาษีโดยการออกเช็ค 7 หมื่นราย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบขอเอกสารเพิ่มเติมอีก 5 แสนราย

นอกจากนี้ นายประสงค์ยังกล่าวถึงเรื่องภาษีมรดก ว่า ขณะนี้มีทายาทของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรายหนึ่งที่เสียชีวิตในช่วงที่ผ่านมา แจ้งกับกรมเพื่อจะเสียภาษีการรับมรดก ซึ่งยังไม่ทราบเม็ดเงินภาษีที่จะเก็บได้ เพราะต้องรอจนกว่าจะมีการรับมรดกจริง ถือว่าเป็นการเก็บภาษีมรดกรายแรกของประเทศ

กฎหมายการเก็บภาษีมรดกมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 แบ่งเป็น 5 ประเภทที่ต้องเสียภาษีมรดก คือ อสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินทางการเงินอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยอัตราการเก็บภาษีมรดก หากเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานเสียภาษีอัตรา 5% จากการรับมรดกส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท แต่หากไม่ใช่จะเสียภาษีอัตรา 10% จากการรับมรดกส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท

ร่วมแสดงความคิดเห็น