ดีเอสไอแฉ…!! ขึ้นสวนป่าแต่ไม่มีไม้

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้, นายสืบศักดิ์ เอี่ยววิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่อง ตรวจสอบเกี่ยวกับพฤติการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ตัดไม้ทำลายป่าโดยการใช้วิธีการขึ้นทะเบียนสวนป่าตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 เป็นเครื่องมือในการกระทำผิด ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน
จากสอบสวน พบว่า กลุ่มขบวนการนี้ เริ่มจากหาต้นไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ในขนาดที่ต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ดินเอกชน และบางส่วนมีเอกสารสิทธิในพื้นที่ป่าไม้ แล้วออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จากนั้นไปขอขึ้นทะเบียนที่ดินว่าเป็น “สวนป่า” เพื่อตัดต้นไม้ดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่อำเภอขุนยวม ตรวจพบมีการแก้เอกสารสิทธิของที่ดินอำเภอ โดยแก้ที่ดินจาก 10 ไร่เป็น 20 ถึง 30 ไร่ เพื่อขอออกสวนป่า โดยหวังตัดต้นสักธรรมชาติขนาดใหญ่ในที่ดินเหล่านั้น โดยได้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินไปแล้ว 14 แปลง สำหรับที่ดินในพื้นที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ทางดีเอสไอตรวจสอบแล้วพบว่า ที่ดินจำนวน 36 แปลงเป็นโฉนด และมีการนำไปขึ้นทะเบียนสวนป่า บางแปลง เป็นบ้านจัดสรร และ หลายแปลงไม่ได้เป็นป่าแต่เป็นรีสอร์ทหรู บางแปลง มีต้นสักปลูกใหม่ อายุไม่น่าจะเกิน 10 ปี แต่กลับพบว่ามีร่องรอยตอต้นสักขนาดใหญ่ ที่ถูกตัดออกไปก่อนหน้านั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าว ทางดีเอสไอ จะดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งมีหลายหน่วยงาน โดยจะอาศัยภาพถ่ายทางอากาศเป็นหลัก รวมไปถึงพยานเอกสารและพยานบุคคลสิ่งแวดล้อม

นอกจากเรื่องการลอบขึ้นทะเบียนสวนป่า โดยพบว่ามีการให้ความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ทางดีเอสไอ ยังพบข้อมูลกรณีของนายวิสุทธิ์ บุรุษภักดี ที่นำโฉนดที่ดินปลอม ไปจำนองกับธนาคารเพื่อการเกษตร และกู้เงินออกมาจำนวนนับ 10 ล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าว ทางดีเอสไอ จะสอบถามไปยังธนาคารเพื่อการเกษตร หรือ ธกส. เพื่อให้มาชี้แจงต่อดีเอสไอ ว่า ทางเจ้าหน้าที่ของธนาคาร ในสมัยนั้น มีส่วนรู้เห็นหรือร่วมมือกับนายวิสุทธิ์ อย่างไรบ้าง หากพบว่ามีการกระทำผิดก็จะถูกดำเนินดคีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อไป

 

พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ระบุว่า ทางดีเอสไอ พบกระบวนการ ของกลุ่มนายทุนจะหาไม้ที่อยู่ตามธรรมชาติและต้นไม้สักในที่ดินของราษฎร ซึ่งบางส่วนมีเอกสารสิทธิ และ บางส่วนไม่มีเอกสารสิทธิ แล้วนำไปออกเอกสารสิทธิในที่ดินซึ่งเป็นเท็จไม่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วนำที่ดินที่มีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ นำไปออกเอกสารสิทธิเกินพื้นที่จริง แล้วนำไปขอขึ้นทะเบียนสวนป่าเพื่อตัดไม้สักทองในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้พบว่า กลุ่มขบวนการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบ วิธีการ
กระทำความผิด ซับซ้อนขึ้น โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ขึ้นทะเบียนสวนป่า 444 แห่ง คิดเป็นเนื้อที่ 7,849-2-40 ตารางวา โดยมีการตัดต้นไม้สักทองไปกว่า 816,786 ต้น

ซึ่งทาง ดีเอสไอ ใช้เวลาสืบสวน ลงพื้นที่หาข่าว จนได้ข้อมูลในราย “นางทองใส ญาณวุฒิ” เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2545 นำโฉนดเลขที่ 758 ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื้อที่ 8 ไร่เศษไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสวนป่า ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนในฐานะนายทะเบียนที่ดินสวนป่า แต่ต่อมานางทองใส ขอถอนคำร้อง และยื่นคำขอขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าอีกครั้งเป็นรอบที่สอง และผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดยยังไม่รับขึ้นทะเบียนพ.ต.ท.ประวุธ เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 กรมป่าไม้ ส่งทีมเข้าตรวจสอบพื้นที่ เนื่องจากนางทองใส ขออนุญาตทำไม้สักออก ผลปรากฎว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปายฝั่งซ้ายทั้งแปลง กรมป่าไม้ จึงสั่งการให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลคือ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงส่งเรื่องให้กรมที่ดินตรวจสอบส่วนสำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ตรวจสอบเช่นกัน และพบว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 758 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงส่งเรื่องให้กรมที่ดินพิจารณาดำเนินการเพิกถอน ซึ่งต่อมาอธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งลงวันที่ 29 ก.ย. 2558 ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว และผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีคำสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า และดีเอสไอ มีหนังสือแจ้งข้อมูลไปยังกรมป่าไม้ ดำเนินคดีผู้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ

นอกจากนั้นทาง ดีเอสไอ ยังตรวจสอบกรณี นายวิสุทธิ์ บุรุษภักดี นำเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวม 14 แปลง รวมเนื้อที่ 391 ไร่ มาขอจดทะเบียนสวนป่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2536 มีไม้ที่ขอขึ้นทะเบียน 156,200 ต้น และผู้ว่าราชการ จ.แม่ฮ่องสอน รับขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2537 แต่จากการสืบสวน ดีเอสไอ พบว่า พื้นที่มีการขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่า อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย 10แปลง เนื้อที่ 278ไร่ ครอบคลุมไม้ 111,100 ต้น และอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ 4 แปลง เนื้อที่ 112 ไร่ และสำนักงานที่ดินอำเภอขุนยวม ไม่พบเอกสารที่เป็นสาระบบที่ดินทั้ง 14 แปลง และยังพบว่า ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2538 คดีอัยการ เป็นโจทก์ ฟ้องนายชาติชาย ศรีชนบท เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอขุนยวม ซึ่งเป็นจำเลย โดยพิพากษาว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 524 ต.เมืองปอน เป็นเอกสารปลอม และวันที่ 23 ธ.ค. 2546 พิพากษาว่า น.ส.3 ก. อีก 12 แปลง เป็นเอกสารปลอม ปัจจุบันพบว่า ยังไม่มีการเพิกถอนหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าทั้ง 13 แปลง

พ.ต.ท.ประวุธ บอกว่า กรณีนี้ ดีเอสไอ พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงทรัพยากรธรรมชาติของประเทศชาติและความมั่นคงของประเทศ อธิบดี ดีเอสไอ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง จึงอนุมัติให้รับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนกรณีที่สาม การขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า
ส่วนรายของ นางจตุพร กวีวัฒน์ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 กรมป่าไม้ ตรวจสอบพบข้อสังเกตว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2555 นางจตุพร นำโฉนดที่ดินเลขที่ 8436 มาเป็นหลักฐานการขอขึ้นทะเบียน อ้างว่าเนื้อที่ 1 ไร่ มีไม้สักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ 11 ต้น อายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี ในขณะที่โฉนดที่ดิน ออกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชตรวจสอบแล้วปรากฏว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 8436 อยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปายทั้งแปลง ต่อมา วันที่ 22 สิงหาคม 2555 ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ออกหนังสือรับรองการแจ้งตัดหรือโค่นไม้ที่ได้จากการทำสวนป่าให้แก่นางจตุพร แต่วันที่ 10 กันยายน 2557 สำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีหนังสือแจ้งว่าการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย “ แต่ก็ได้มีการตัดไม้ออกไปจากพื้นที่หมดแล้ว

ร่วมแสดงความคิดเห็น