สสจ.เชียงใหม่ ชี้แจงกรณีแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ร.อ.ภูรีวรรธน์ โชคเกิด นายแพทย์ สสจ.เชียงใหม่ กล่าวถึง การแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2545 ว่า ในช่วงต้นเดือน มิ.ย.2560 มีการจัดเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจาก ประชาชน 4 ภาค และเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของพี่น้องประชาชน ตามที่เป็นข่าว รวมถึงเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2560 กลุ่มตัวแทนผู้ใช้บัตรทองใน จ.เชียงใหม่ ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลผ่าน ศูนย์ดำรงธรรม จ.เชียงใหม่ เพื่อขอให้ยุติการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และให้ผู้ใช้บัตรทองใน จ.เชียงใหม่ คลายความกังวลลง

ขอยืนยันว่า เจตนารมณ์ของการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ แก้ไขที่ระบบบริหารจัดการ เพื่อให้มีความคล่องตัว และสามารถสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการมากขึ้น ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการแก้ไข พ.ร.บ. มากขึ้น ไม่กระทบสิทธิ ไม่ลิดรอนสิทธิใดๆ สำหรับประเด็นที่ผู้ใช้บัตรทอง จ.เชียงใหม่ มีความกังวลอยู่ ได้ชี้แจงทำความเข้าใจ ดังนี้


1. ประเด็นความกังวลว่า ประชาชนจะต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล 30-50 %
ขอชี้แจงว่า ไม่มีการแก้ไข ยังคงตาม พ.ร.บ. เดิม

2. ประเด็นการขอให้เพิ่มอำนาจแก่ สปสช. ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์รวม ซึ่งเดิมทำได้เพียง 4.9% เนื่องจากที่ผ่านมา คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ทักท้วงว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่มีระเบียบรองรับในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์รวม ไม่มีการแก้ไข ยังคงตาม พ.ร.บ.เดิม ให้มีการจัดซื้อร่วมยา/เวชภัณฑ์/อุปกรณ์การแพทย์ เหมือนเดิม เพียงแต่จะปรับระบบการจัดซื้อยา เพื่อให้เกิดระบบจัดซื้อร่วมที่มีธรรมาภิบาล มีความเท่าเทียมระหว่างสิทธิมากขึ้นและมีประสิทธิภาพ โดยให้มีคณะกรรมการร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นแกนหลักในการประสานงาน เพื่อดำเนินการเรื่องการต่อรองราคา

3.ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพมาตรฐานบริการสาธารณสุข มีสัดส่วนผู้ให้บริการมากกว่าผู้รับบริการ ข้อเท็จจริงในการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา มีความไม่สมดุลในองค์ประกอบ จำนวนและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ โดยมีข้อทักท้วงจากหน่วยตรวจสอบ ในประเด็นการออกประกาศระเบียบ ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่

จึงมีการปรับ เพิ่ม ลด ผู้เกี่ยวข้องหลักในด้านต่างๆทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น รวมทั้งผู้แทนภาคประชาชนด้วย เพื่อให้มีส่วนร่วมในการบริหารกองทุน รวมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบตามบทบาทหน้าที่ ของผู้เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชน และการจ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายที่เป็นธรรมให้แก่หน่วยบริการ

4.ประเด็นสุดท้าย ความกังวลว่า การแยกเงินเดือนออกจากงบรายหัว จะทำให้เกิดปัญหาการกระจุกตัวของบุคลากรในเขตเมือง  ขอเรียนว่าประเภทและจำนวนบุคลากรของหน่วยบริการ ถูกกำหนดโดยกรอบอัตรากำลังคนที่คิดตามภาระงานระดับของโรงพยาบาล ซึ่งถูกกำหนดในระดับประเทศ ทำให้การกระจายตัวของบุคลากรดีขึ้นและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ การแก้ไขประเด็นนี้ จะทำให้สามารถประเมินความเพียงพอของเงินกองทุนต่อการบริการสาธารณ สุขได้ รวมทั้งสะท้อนปัญหาหรือสถานการณ์ทางการเงินที่แท้จริง ของหน่วยบริการภาครัฐได้ และยังส่งผลให้มีงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อการจัดบริการสาธารณสุขแก่ประชาชน ได้อย่างครอบคลุมและมีคุณภาพมากขึ้น

สำหรับเรื่องที่ไม่อยู่ใน 14 ประเด็นหลัก แต่เป็นเรื่องที่ภาคประชาชนให้ความสนใจ และมีความเชื่อมโยงกัน ขอเรียนชี้แจงดังนี้
1) ผู้มีสิทธิบัตรทอง ยังเหมือนเดิม คือคนไทยทุกคนที่มีเลขประจำตัว 13 หลัก ซึ่งไม่มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลจากกฎหมายประกันสังคม หรือสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ไม่มีการแก้ไขประเด็นผู้มีสิทธิแต่อย่างใด
2) โรงพยาบาลรัฐยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เหมือนเดิม ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรงของโรงพยาบาล ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินที่ได้รับจัดสรร

ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการแก้ไข พ.ร.บ. มากขึ้น ไม่กระทบสิทธิ ไม่ลิดรอนสิทธิ ใดๆ

ร่วมแสดงความคิดเห็น