(มีคลิป) เชียงใหม่ ตำรวจท่องเที่ยว บูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ออกกวาดล้างอาชญากรรมครั้งใหญ่ในพื้นที่

เชียงใหม่ ตำรวจท่องเที่ยว บูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ออกกวาดล้างอาชญากรรมครั้งใหญ่ในพื้นที่ ตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดี ในทุกมิติ ทั้งอาวุธปืน อาวุธสงคราม สถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และริษัททัวร์ บริษัทรถเช่า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว รองรับช่วงฤดูกาลไฮซีซั่นที่จะมาถึงนนี้ โดยย้ำชัดภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศจะต้องดีขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตของธุกิจที่ยั่งยืน พร้อมทั้งแถลงข่าวจับกุมคดีสำคัญ บุคคลต่างด้าวสวมบัตรและพาสปอร์ต
  เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. วันที่ 19 ตุลาคม 2560 ที่บริเวณด้านหน้ากองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี รรท.ผบช.ทท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ สปพ. เจ้าหน้าที่ ปคม. เจ้าหน้าที่ ปส. และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น

ตามแผนปฏิบัติการนครพิงค์ 60 ระดมกวาดล้างอาชญากรรมที่เกิดกับนักท่องเที่ยว ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ภายหลังจากที่ได้มีการปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เพื่อออกปฏิบัติการกวาดล้างเมื่อช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น. ของวันเดียวกันนี้ โดยมีการเข้าตรวจค้นส่งผิดกฏหมาย และเข้าปฏิบัติการจับกุมดำเนินคดีตามเป้าหมาย การเข้าตรวจสอบเครื่องเล่นแบบโหนสลิง หรือซิปไลน์ที่เข้าข่ายการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน และสถานบริการเครื่องเล่นแบบแอดเวนเจอร์ รวมไปถึงบริษัททัวร์ บริษัทรถเช่า ที่อยู่ในพื้นที่

โดยจากผลการดำเนินการในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นทั้งในเขตจังหวัดเชียงใหม่และเขตติดต่อ จำนวนรวมทั้งหมด 34 จุด ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน จำนวน 19 กระบอก , คดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค จำนวน 2 ราย พร้อมทั้งได้ทำการตรวจยึดรถยนต์ของบริษัท ทีคาร์เร้นท์ จำนวน 6 คัน ที่มีพฤติกรรมสวมป้ายทะเบียนรถ (ป้ายแดง)

ให้เช่า และยึดรถรถจักรยานยนต์สงสัยไม่เสียภาษีประจำปี จำนวน 17 คัน , จับกุมข้อหา “ประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 2 ราย นอกจากนี้ได้มีการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.การพนันฟุตบอลออนไลน์ จำนวน 1 ราย , จับบุคคลตามรูปแต่งกายในลักษณะพระสงฆ์ปรากฎในทะเบียนราษฎร์ผู้อื่นตามหมายจับ จำนวน 1 ราย และเข้าดำเนินการตรวจสอบสถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย (Zip Line) จำนวน 14 จุด มีใบอนุญาตถูกต้องจำนวน 5 จุด ปิดกิจการไปแล้ว 4 จุด อยู่ระหว่างการดำเนินคดี 3 จุด พบการกระทำความผิด 2 จุด คือ ซิปไลน์ปางช้างโชคชัย ในความผิดฐานไม่มีคู่มือการติดตั้งตามที่กำหนดฯ และพบสนุกม่อนแจ่ม ความผิดฐานเครื่องเล่นไม่ได้รับอนุญาตในการก่อสร้างและเครื่องเล่นอยู่ในเขตป่าสงวน


โดยทาง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. เปิดเผยว่า การดำเนินการในวันนี้เป็นการบูรณาการของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เพื่อดำเนินการกวาดล้างและป้องกันเหตุอาชญากรรม ทั้งในเรื่องของอาวุธปืน อาวุธสงคราม รวมไปจนถึงเรื่องรถที่ผิดกฎหมาย และอีกส่วนหนึ่งเป็นการเข้าทำการตรวจค้นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย หรือ ซิปไลน์ ทั้งหมด 14 แห่ง และจับกุมในเรื่องของการบุกรุกป่าสงวน บุกรุกอุทยานแห่งชาติ โดยจังหวัดเชียงใหม่นั้นเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อด้านการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการเป็นพิเศษคือเรื่องของมาตฐานความปลอดภัย

ดังนั้นจึงต้องทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงได้ร่วมกับทุกฝ่ายในพื้นที่ออกปฏิบัติการกวาดล้าง เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลที่จะมีขึ้นในช่วงนี้ทั้งเทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ จะต้องเดินทางเข้ามาอย่างปลอดภัย มีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่น รวมถึงในอนาคตสถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย หรือ ซิปไลน์ ทุกแห่งจะต้องเป็นไปด้วย 2 มาตรฐาน คือเรื่องกำไรและเรื่องคุณภาพ ความถูกต้องถูกกำหมาย และความปลอดภัยต้องอยู่สมดุลย์ควบคู่กัน

และขณะเดียวกันการปฏิบัติการในครั้งนี้จะเป็นการจับกุมดำเนินการในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทัวร์ต้นทุนต่ำ ที่มีการจับกุมไปแล้ว และอยากฝากเตือนว่าหากยังมีการจำหน่ายในราคาที่มีต้นทุนต่ำกว่าที่กำหนดก็จะมีการตรวจสอบและจับกุม พร้อมทั้งมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยการประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวต่างๆ นั้นจะต้องเป็นไปอย่างยั่งยืนและอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และในส่วนของผู้ประกอบการก็จะต้องให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การท่องเที่ยวของเชียงใหม่เติบโตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงเรื่องการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวจะต้องหมดไป เพื่อเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ในการก้าวเข้าสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

รรท.รอง ผบช.ทท. ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนของกรณีคดีจับกุมบุคคลต่างด้าว สวมบัตรประชาชนและพาสปอร์ต พระสงฆ์วัดดังย่านสุขุมวิท 101 ที่ได้มีการนำตัวผู้ต้องหามาแถลงในวันนี้นั้น สืบเนื่องมาจาก นายหน่อ ไม่ทราบนามสกุล ชาวพม่า ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.661/2560 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นบุคคลผู้ปรากฏรูปใบหน้าของบุคคลอื่นในทะเบียนราษฎร์ หรือในข้อหาแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตร, ทำใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ

หรือกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อ หรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบฯ เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายหน่อได้ทำการสวมบัตรประชาชนของ พระอัศรินทร์ ศิลาดำ อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 1 ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และบวชเป็นพระอยู่ที่วัดท่ากระดาษ หลังจากที่พระอัศรินทร์ตัวจริงมาขอทำพาสปอร์ทเพื่อจะเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศแคนาดา เมื่อปี 2558 จึงทราบว่าตนเองถูกสวมสิทธิ์บัตรประชาชน

โดยพระอัศรินทร์ ตัวจริงเล่าว่า ตนเองบวชเรียนตั้งแต่อายุ 14 ปี จึงไม่ได้ทำบัตรประชาชนและใช้ใบสุทธิของพระสงฆ์แทนสิทธิ์ในการติดต่อราชการทุกชนิด เมื่อทราบว่าตนโดนสวมสิทธิ์ก็รู้สึกตกใจ และขอขอบคุณทางตำรวจท่องเที่ยวที่เข้ามาช่วยเหลือ สืบสวนจนพบตัวที่คนสวมสิทธิ์ โดยตนเองก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร เพราะไม่อยากให้เป็นเวรเป็นกรรม ถือว่าเป็นวิบากกรมของตนเองที่ได้มาเจอเรื่องเช่นนี้ เพียงต้องการขอสิทธิ์ของตัวเองคืนเท่านั้น

ขณะที่ทางด้าน นายหน่อ ผู้ที่มาสวมสิทธิ์ เล่าว่า ตนได้มาบวชเป็นพระแล้วเดินทางจากเมืองเชียงตุง ประเทศเมียนมา มาที่จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นมีผู้มาเสนอจะทำบัตรประชาชนให้ โดยเรียกรับเงิน 15,000 บาท และต่อมาได้มาทำบัตรประชาชนในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ และอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปีแล้ว พร้อมทั้งได้กล่าวขอขมาพระอัศรินทร์ตัวจริงที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ร่วมแสดงความคิดเห็น