ชื่นชมไอเดียสุดเจ๋ง! นักศึกษาด้อยโอกาสคิดค้นซอสเบตาแคโรทีนจากผักผลไม้เหลือใช้ จนคว้ารางวัลมากมาย

ชื่นชม ไอเดียสุดเจ๋ง เด็กนักศึกษาด้อยโอกาส 3 คน ที่อาศัยกินนอนอยู่ภายในวัดดอนจั่น จ.เชียงใหม่ หลังได้รับโจทย์จากครูว่าให้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์จากสิ่งของที่เหลือใช้ในชุมชน คิดสร้างสรรค์นำผักผลไม้ จากที่เหลือของทางวัดมาทำเป็นซอสเบตาแคโรทีนมากคุณค่า จนสามารถคว้ารางวัลทั้งระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศมาครองได้ น่าชื่นชม
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ผู้สื่อข่าวได้ทราบข้อมูลว่า ที่วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ศูนย์การเรียนรู้วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีเด็กนักศึกษา 3 คน ที่เป็นเด็กด้อยโอกาส อาศัยกินนอนอยู่ภายในวัด ซึ่งได้ร่วมกันใช้ทักษะและความรู้ที่ศึกษามาจากวิทยาลัยฯ มาทำแนวคิสร้างสรรค์ จากโครงงานวิทยาศาสตร์จากสิ่งของที่เหลือใช้ในชุมชน โดยการนำผักผลไม้ที่เหลือจากที่ทางวัดได้นำมาทิ้งโดยไม่มีประโยชน์กลับมาทำเป็นซอสเบตาแคโรทีนเพื่อ ยืดระยะเวลาการเก็บรักษา และต่อมาแนวคิดดังกล่าวกลับสร้างชื่อเสียงจนสามารถคว้ารางวัลทั้งระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศมาครอง สร้างชื่อเสียงให้กับวิทยาลัยฯ และจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อทราบดังนั้นทางผู้สื่อข่าวจึงได้ทำการติดต่อและตรวจสอบก็พบเด็กนักศึกษาทั้ง 3 คน ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือ นางสาวศรัญญ่า ปุมะ , นางสาวจันทิมา ปุมะ และนางสาวอรไพลิน กะพอ นักศึกษาวิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ศูนย์การเรียนรู้วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งที่วัดดอนจั่นแห่งนี้เป็นที่พักพิงของเด็กด้อยโอกาสถึง 650 ชีวิต ที่ในแต่ละวันมีคนนำผัก ผลไม้ มาบริจาคให้ทางวัดปรุงเป็นอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะผัก ผลไม้ตามฤดูกาลที่บางครั้งมากจนเกิดการเน่าเสีย จึงมีความคิดที่จะแปรรูปผัก ผลไม้ เก็บไว้

ทั้งนี้จากการตรวจสอบผลงานของนักศึกษาดังกล่าวทราบว่า ปัจจุบันซอสเบตาแคโรทีนมีอยู่ 3 สูตร โดยมีส่วนผสมหลักคือเนื้อฟักทอง 100 กรัม น้ำเสาวรส 50 กรัม เกลือครึ่งช้อนชา และน้ำเชื่อม 30 กรัม ส่วนถ้าเป็นสูตรไหน ไม่ว่าจะฟักข้าว มะละกอ หรือแครอท ก็ใส่ส่วนผสมเหล่านี้ลงไป 30 กรัม อย่างวันนี้ทำสูตรฟักข้าว วิธีการก็ไม่ยาก คือปลอกเปลือกแล้วหั่นฟักทองให้มีขนาดเล็ก เทใส่กระทะ เติมน้ำนิดหน่อย คนฟักทองบ่อยๆ จนเนื้อฟักทองเริ่มเละ ส่วนเสาวรสและฟักข้าว ขูดเมล็ดและเยื้อออกมา กรองเอาแต่น้ำให้ได้ปริมาณที่ต้องการ จากนั้นเทลงไปในกระทะ ตามด้วย น้ำเชื่อมและเกลือ ควรคนในกระทะตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ซอสไหม้ เริ่มจากไฟปานกลางแล้วค่อยๆ ลดไฟลง ลองทดสอบดูด้วยการตักตัวซอสขึ้นมาแล้วใช้ไม้กรีดตัวซอสออกถ้าไม่ไหลรวมกันแสดงว่าใช้ได้ หลังจากนั้นก็ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาบรรจุขวดหรือหลอด สำหรับการเก็บรักษานั้นหากเก็บไว้นอกตู้เย็นจะสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ และถ้าแช่ตู้เย็นไว้ ก็จะมีอายุประมาณ 1 เดือน ในเบื้องต้นได้ตั้งราคาขายไว้ หลอดละ 30-35 บาท และแบบขวด 50-60 บาท

ซอสเบตาแคโรทีนที่ได้มีรสชาติอร่อย หวานอมเปรี้ยว สีสันสวยงาม หลีกหนีความจำเจของการทานอาหารคู่กับซอสมะเขือเทศหรือซอสพริกแบบเดิมๆ ได้เป็นอย่างดี เด็กๆ ชื่นชอบ ไม่ว่าจะทานคู่กับอาหารเช้าหรือขนมต่างๆ ก็ได้เช่นกัน ที่สำคัญคือมีคุณค่าทางอาหารสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน และไลโคปีน ช่วยบำรุงสายตา ซึ่งทางวิทยาลัยสารพัดเชียงใหม่ ได้ส่งผลงานของนักศึกษากลุ่มนี้เข้าประกวด เริ่มจากระดับจังหวัด ระดับภาค และล่าสุด คว้ารางวัลอันดับ 4 ในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ อาชีวศึกษา-เอสโซ่ ประจำปี 2560 ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากให้แก่นักศึกษาทั้ง 3 คนนี้ และเตรียมผลิตออกมาวางจำหน่ายหารายได้เสริมให้กับตัวเองแล้ว ซึ่งทางวิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่กำลังสร้างร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของนักเรียนนักศึกษาไว้บริเวณด้านหน้าของวิทยาลัยจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมนี้ และจะนำผลิตภัณฑ์ของนักศึกษาจากทุกสาขาวิชามาจำหน่ายในราคาย่อมเยาด้วย
โดยทาง นางธิติมา โรจน์วัชราภิบาล ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ เปิดเผยว่า นักเรียนเหล่านี้เป็นเด็กด้อยโอกาสที่อาศัยอยู่ที่วัดดอนจั่น ซึ่งทางวิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ได้จัดครูเข้าไปสอนหนังสือ ทุกวันนักเรียนจะเห็นมีผู้เอาฟักทอง เอาแครอทมาบริจาค จึงคิดว่าจะนำมาทำอะไรได้บ้าง ที่คงทน ไม่เสียง่ายและจำหน่ายได้ โดยนำเอาความร้อนมาช่วยแปรรูปซอส เพราะเคยเห็นจากที่มีผู้นำเอาซอสและแยมมาบริจาคให้ แล้วมาทานกับขนมปัง หรือเฟรนซ์ฟราย ซึ่งคิดว่าเด็กๆ น่าจะรับประทานได้ดีกว่า ขณะที่นางสาว จันทิมา ปุมะ หนึ่งในนักศึกษาผู้ร่วมคิดค้นซอสเบต้าแคโรทีน กล่าวว่าคิดว่า ที่นำมาทำเป็นซอสเพราะรับประทานได้กับหลายอย่างมากกว่า ไม่ว่าจะผัดกับข้าว หรือทานกับขนมก็ได้ พอทำออกมาเด็กๆ ก็สามารถรับประทานได้ เด็กๆ ที่ไม่ทานผักก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้อีกด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น