ใกล้ชิด จริงใจ ให้ประโยชน์ ใจกว้าง นำความสัมพันธ์ไมตรี จีน-ไทย ไปสู่อนาคตรุ่งโรจน์

 

เมื่อวันที่ 18 – 24 ตุลาคม 2017 การประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 หรือ สมัชชา19 ได้จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นในยุคสมัยแห่งการช่วงชิง ชัยชนะ ของการสร้างสรรค์สังคมพอกินพอใช้อย่างทั่วถึง (หรือเรียกว่าเสี่ยวคาง)และการพัฒนาสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนสมัชชา19 มีความสำคัญยิ่งเชิงประวัติศาสตร์ สำหรับประเทศจีนและประชาชนจีน ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย

ในที่ประชุมสมัชชา 19 ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้กล่าวรายงานในหัวข้อเรื่อง ช่วงชิงชัยชนะของการสร้างสรรค์สังคมพอกินพอใช้อย่างทั่วถึง และการพัฒนาสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนในยุคสมัยใหม่ รายงานฉบับนี้ ได้สรุปการปรับปรุงเชิงประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนในช่วง 5 ปี หลังสมัชชา18 และสถานการณ์ที่สังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนได้ย่างเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ได้อธิบายแนวคิดสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนในยุคใหม่และความขัดแย้งหลักในสังคมจีนที่เกิดความเปลี่ยนแปลง ได้กำหนดทิศทางหลักที่จะยืนหยัดและพัฒนาสังคมนิยมแบบมีอัตลักษณ์จีนต่อไป

รายงานฉบับนี้ได้เปิดทิศทางใหม่ที่มุ่งสู่เป้าหมายครบรอบ 100 ปี 2 วาระและให้ความฝันขของประเทศจีนได้กลายเป็นความจริงตามรายงานฉบับนี้ได้กำหนดไว้ ประเทศจีนจะสร้างสรรค์สังคมพอกินพอใช้ให้เสร็จสมบูรณ์ ภายในปี 2020 สร้างสังคมิยมที่ทันสมัยให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2035 และถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 21 ประเทศจีนจะกลายเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย มั่งคั่ง เข้มแข็ง มีอารยธรรมที่สมบูรณ์ กลมกลืน และสวยงาม

หลังจากการแสวงหาและใช้ความพยายามเป็นเวลายาวนานเกือบ 100 ปี การพัฒนาของประเทศจีนได้ยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นใหม่เชิงประวัติศาสตร์ ประชาชาติจีนที่เคยผ่านความยากลำบากเป็นเวลายาวนานนั้น ได้บรรลุซึ่งการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ หลังจากลุกขึ้นยืนหยัดสถาปนาประเทศมาอย่างช้านาน จนสร้างความมั่งคั่ง เข้มแข็งและพบกับอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่จะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองแห่งประชาชาติ

นับตั้งแต่การประชุมสมัชชา18 เป็นต้นมา ประเทศจีนได้ทำการแก้ไขปัญหามากมาย ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาอย่างยาวนาน และได้ประสบความสำเร็จที่อยากทำในอดีต แต่ทำไม่ได้ อาทิ การบริหารควบคุมพรรคฯด้วยวินัยที่เข้มงวด การปฏิรูปอย่างแพร่หลาย การส่งเสริมการปกครองประเทศโดยกฎหมายฯลฯ ความสามารถด้านเศรษฐกิจวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การป้องกันประเทศและบทบาทระหว่างประเทศ ล้วนได้รับการยกระดับอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนได้เติบโตในระดับปานกลางและเพิ่มสูงขึ้นในปี 2013-2016 GDP ของประเทศจีนได้เติบโต 7.2% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งได้สร้างคุณูปการต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากกว่า 30% เศรษฐกิจจีนมีสัดส่วนประมาณ 15% ของเศรษฐกิจวโลก ในปี 2017GDP ของประเทศจีน คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 6.7% และเศรษฐกิจจีนจะมียอดมูลค่าถึง 80 ล้านล้านหยวน หรือเทียบเท่า 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยังคงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก

ในช่วง 5ปีที่ผ่านมาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของจีน มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ถนนทาง หลวงมีระยะทาง 1 แสน 3 หมื่นกิโลเมตร เส้นทางรถไฟความเร็วสูงมีระยะทาง 2.3 หมื่นกิโลเมตร ซึ่งทั้งสองนั้นถือเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางรถไฟความเร็วสูง มีระยะทางยาวที่สุดในโลก ประเทศจีนทุ่มเทกำลังส่งเสริมนวัตกรรม และมีการเปิดตัวผลงานทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากมาย อาทิ ห้องทดลองยานอวกาศเทียนกง เรือดำน้ำสำรวจทะเลลึก เจียวหลงกล้องโทรทรรศน์อวกาศ ดาวเทียมค้นหาอนุภาคของสสารมืดอู้คง ดาว เทียมทดลองควอนตัมโม่จื่อรถไฟความเร็วสูงฟู่ซิง เรือบรรทุกเครื่องบินที่ผลิตในประเทศจีนลำแรก และเครื่องบินผู้โดยสารขนาดใหญ่ รุ่น C919 เป็นต้น

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจำนวนประชากรในชนบทที่ยากจนลดจาก 100 ล้านคนในปี 2012 มาเป็น 43.35 ล้านคน โดยเฉลี่ยลดลงปีละ 14 ล้านคน ตั้งแต่การปฏิรูปและเปิดประเทศ จีนเป็นระยะเวลา 40 ปีได้ทำให้ประชาชน 700 ล้านคนพ้นจากความยากจน ซึ่งได้สร้างคุณูปการณ์ต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนสูงถึง 70% ทั้งนี้จีนยังมุ่งหน้าสร้างอารยธรรมระบบนิเวศน์วิทยาอย่างแน่วแน่  “น้ำใสเขาเขียวก็คือภูเขาเงินทอง” แนวคิดดังกล่าวได้ซึมซับเข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชนทุกหมู่เหล่า

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประสบความสำเร็จ ในการบริหารควบคุมพรรคฯด้วยวินัยที่เข้มงวด”ล่าเสือ””ปัดแมลงวัน””ล่าสุนัขจิ้งจอก”ซึ่งมีการปราบปรามคอรัปชั่นทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ตำแหน่งสูง จนถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่าง และไล่จับผู้ทุจริตที่หลบหนีไปต่างประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มงวดยึดถือวินัย ปฏิ บัติตามหน้าที่ และกฏระเบียบ จึงได้สร้างกลไกที่ทำให้เกรงกลัว ไม่กล้าทุจริต ไม่สามารถทุจริต ไม่อยากทุจริตซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพรรคคอมมิวนิสต์ จีนที่สามารถปฏิรูปและพัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้น จนได้สร้างพื้นฐานการเมืองที่มั่นคง

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การต่างประเทศที่มีอัตลักษณ์ของจีน ได้ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ประเทศจีนส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่โดยถือหลักการ”ชนะร่วมกัน” เป็นใจกลาง และทุ่มเทกำลังเพื่อสร้างประชาคมร่วมชะตากรรมของมนุษยชาติ ซึ่งได้สอดคล้องกับกระแสของยุคสมัยแห่งสันติภาพ การพัฒนา ความร่วมมือและประสบความสำเร็จในการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค การประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ที่เมืองหางโจวเวทีประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ และการประชุมสุดยอดประเทศสมาชิก BRICS ฯลฯ ประเทศจีนได้นำเสนอแนวคิดและแผนปฏิบัติงานต่อประชาคมระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ได้สร้างคุณูปการในความก้าวหน้าของอารยธรรม การพัฒนาโดยสันติวิธีของมนุษยชน

ในขณะเดียวกันประเทศจีนยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เคยกล่าวไว้ว่า การเปิดกว้างของประเทศจีนพร้อมทั้งการปฏิรูปจะไม่หยุดยั้ง ดังนั้นประเทศจีนจะมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นศูนย์ กลางสำคัญในการแก้ไขปัญหาทั้งหมด

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนจีน ประจำประ เทศไทยว่า สมัชชา19 มีความหมายสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาของโลกอย่างมากและยังชี้ว่า จีนไทยต้องคบค้า ต้องพึ่งพา อาศัยกันและเป็นมิตรกัน ไทยจะต้องศึกษาประสบการณ์ของจีนอย่างจริงจัง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ

ประเทศจีนและประเทศไทยล้วนเป็นประเทศที่มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีสัมพันธไมตรีมายาวนานเป็นระยะเวลา 42 ปี นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต จีนไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรด้วยดีมาตลอดความเชื่อถือ ด้านการเมืองความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยน ด้านวัฒน ธรรมระหว่างจีนไทยนั้น ล้วนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนสอดคล้องกับนโย บาย ไทยแลนด์ 4.0 และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ของไทย ทำให้ความร่วมมือระหว่างจีนไทยนั้นมีศักยภาพสูงขึ้น

หลังจากประเทศจีนได้นำเสนอหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง การค้าระหว่างทั้งสองประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และเติบโตอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2014-2016 ในครึ่งปีแรก 2017 ยอดการค้าระหว่างจีนไทยคิดเป็น 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น 11.8% จากปีที่แล้ว โครงการรถไฟความเร็วสูงจีนไทยกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ จีนยังคงเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไทย ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศไทยถึง 5.65 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 584 ล้านหยวน ให้แก่ประเทศไทย

จีนและภาคเหนือของไทยมีความใกล้ชิดกันทางด้านภูมิศาสตร์ และมีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรม ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายได้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน อาทิ การค้า การท่องเที่ยว การเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ตลอดจนการศึกษาและวัฒนธรรม นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คณะผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ คณะตำรวจ และคณะหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางไปเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ในขณะเดียวกัน คณะกระทรวงการเกษตรจีน คณะทบวงการท่องเที่ยวแห่งชาติจีน คณะจากมณฑลซานซี ยูนนาน ไหหลำ ทิเบต และซานตง ฯลฯ

ได้เดินทามาเยือนภาคเหนือเช่นกัน ปัจจุบัน จ.เชียงใหม่ ได้เปิดเที่ยวบินตรงกับเมืองต่างๆ ของจีนทั้งหมด 15 เที่ยวบินในปี 2016 นักท่องเที่ยวจีนจำนวน 8.7 ล้านคน เดินทางมายังประเทศไทยโดยมีนักท่องเที่ยว 1.5 ล้านคนมาเที่ยวภาคเหนือ นอกจากนี้ ภาคเหนือไทยได้เปิดสถาบันขงจื้อ 2 แห่ง และห้องเรียนขงจื้อ 4 แห่ง มีครูสอนภาษาจีน 400 คน และนักเรียนนักศึกษาจีนกว่า 7,000 คน ประเทศจีนยินดีที่จะร่วมมือในด้านการท่องเที่ยว พลังงาน โครง สร้างพื้นฐาน การเกษตร ฯลฯ กับภาคเหนือของไทย เพื่อสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือตลอดจนอาเซียนอีกด้วย

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สถานกงสุลใหญ่จีนประจำเชียงใหม่ ได้เป็นเจ้าภาพจัดสัมมนานานาชาติในหัวข้อหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ตัวแทน 400 กว่าคน จากภาครัฐ นักวิชาการ นักธุรกิจและสื่อมวลชนเข้าร่วมสัมมนา และหารือกันในเรื่องส่งเสริมความร่วมมือในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขงเชื่อมโยงกลยุทธ์การพัฒนาของทั้งสองประเทศ เสนอแนะความร่วมมือในด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีชั้นสูง อี-คอมเมิร์ช ด้านวัฒนธรรมการท่องเที่ยวและการศึกษา สัมมนาครั้งนี้ได้ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

ปีนี้เป็นปีครบรอบ 68 ปีแห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนและครบรอบ 42 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างจีนไทยนั้น ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คำกล่าวที่ว่าจีนไทยดั่งพี่น้องกันนั้น ได้ซึมซับเข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชนชาวจีนไทย ประธานธิบดี สีจิ้นผิง ได้กล่าวในที่ประชุมสมัชชา 19 ไว้ว่า  ประตูบานใหญ่ของประเทศจีนจะไม่มีวันปิดลง แต่จะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ประเทศจีนจะใช้ข้อเสนอ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางในการนำร่อง เชื่อมโยงทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อพัฒนาสู่เส้นทางตะวันออกและตะวันตก

ความสัมพันธ์จีนไทยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศจีนให้ความสำคัญยิ่งต่อการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศไทย เชื่อมั่นว่าภายใต้หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ความร่วมมือระหว่างจีนไทยนั้นจะเจริญก้าวหน้า และนำมาซึ่งผลประโยชน์มากยิ่งขึ้นให้กับประเทศและประชาชนทั้งสอง ตลอดจนสร้างคุณูปการณ์ในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคต่อไป

 

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น