ฮือฮา! ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลเมืองงาย จ.เชียงใหม่ พบโครงกระดูกไดโนเสาร์ และถ้ำล่อง

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2561 ที่บ้านนายอัญเชิญ โกฎแก้ว ประธานวัฒนธรรมตำบลเมืองงาย (ชาวบ้านเรียก อาจายย์อัญเชิญ) ต.เมืองงาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เปิดบ้านเล่าเรื่องราวจากที่ได้ศึกษาค้นคว้าประวัติเมืองงายในอดีต ในยุคเชียงแสน และศึกษาจากหนังสือ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม โดย จิตร ภูมิศักดิ์” เขียนไว้ด้วย ในช่วงที่เริ่มศึกษาในอดีตมาถึงปัจจุบัน ค้นพบได้ 3 ยุค 1.ยุคก่อนประวัติศาสตร์(พบโครงกระดูกไดโนเสาร์) 2.ยุคประวัติศาสตร์(ในช่วงสร้างสถูปพระนเรศวร) และ 3.ยุคปัจจุบัน ซึ่งตนสนใจเอาจริงในช่วงอายุประมาณ 30-40 ปี จากนั้นไปทำงานที่ต่างจังหวัด จนกระทั่งกลับมาอยู่ที่บ้านเมืองงายอีกครั้ง อยู่ได้กว่า 10 ปีแล้ว ปัจจุบันนี้อายุ 66 ปีแล้ว ก็ยังศึกษาประวัติศาสตร์เมืองงายต่อเนื่อง

“ผมเริ่มต้นศึกษาประวัติเมืองงาย ในยุคเชียงแสน เพื่อต้องการสร้างอนุสรณ์สถานเจ้าพระยาต่างๆในอดีตให้ลูกหลานได้ทราบประวัติศาสตร์ จากนั้นนำเรื่องราวไปสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในเมืองงายด้วย เมื่อศึกษาค้นคว้าก็ทราบประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่เดินทัพมาถึงเมืองงาย และเวียงแหง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ด้วย จึงทราบว่าในอดีตแผนของรัฐบาลจะมีการสร้างสถูปพระนเรศวรไว้ที่เวียงแหง ติดเขตชายแดนไทย-พม่า แต่สมัยก่อนช่วง พ.ศ.2512 การเดินทางยากลำบากมาก จะมีเส้นทางเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่ และมีบางช่วงใช้ล้อเกวียนวัวควายเดินทางบรรทุกสิ่งของจะมีรถยนต์เข้า-ออกได้บ้าง จาก อ.เชียงดาวไปเวียงแหงนั้นแต่ต้องใช้เวลาการเดินทาง 2-3 วัน ดังนั้นชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆรวมทั้งรัฐบาลจึงย้ายสถานที่สร้างสถูปพระนเรศวรมาที่เมืองงาย ติดกับ อ.เชียงดาวในปัจจุบันนี้แทน และเท่าที่ตนศึกษาประวัติศาสตร์พระนเรศวร ยืนยันได้ว่าพื้นที่ในประเทศไทยแห่งสุดท้ายที่พระนเรศวรได้ตั้งทัพคือพื้นที่เวียงแหง

“ผมได้สะสมตำราโบราณต่างๆไว้จำนวนมากถึง 500 เล่ม จะมีหนังสือที่เขียนประวัติศาสตร์ในอดีต และหนังสือเสน่ห์ยาแฝด ให้คนรักและเกลียดกัน หรือค่าวเมืองเหนือ เรียกกันว่า ค่าวกลอน ที่เป็นเรื่องบอกเล่าความรัก ความเกลียด ที่มีไว้ในใจแล้วเขียนออกมา ซึ่งแม่ของผมก็เขียนค่าวได้ไพเราะมาก ถึงแม้จะเป็นคำแช่งคำด่าจากความโกรธที่มาขโมยทองของแม่ในอดีต ซึ่งผมอ่านแล้วคำแช่งในอดีตไพเราะมาก มีคำแช่งถึง 9 บท 9 เล่ม เขียนแบบไม่ซ้ำกันเลย เนื้อหาสรุปได้ว่า ขอให้คนขโมยของคนนั้นตายจากคนรัก ตายจากคนที่อยู่ใกล้ชิดไป เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ตำราโบราณนี้ต้องหายไปจำนวนมากในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอดีตต้องเผาตำราทิ้ง บ้านใครมีไว้จะถือว่ามีความผิด เช่นกรณีการยึดเมืองได้แล้วจะมีการเผาวัด ตำราที่อยู่ตามวัดก็จะถูกเผาทิ้งไปด้วย ผมได้ขอมาบางส่วนเท่านั้นกับญาติของผู้เสียชีวิต และตามประเพณีในอดีตหากมีคนตาย คือเจ้าของตำราคนใดตายจะต้องเผาตำราทิ้งตามไปด้วย จึงทำให้ตำราสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตหายไปจำนวนมาก”

อาจายย์อัญเชิญ โกฎแก้ว เล่าอีกว่า ในอดีตนั้นตนเป็นผู้สนใจศึกษาค้นคว้าและสร้างงานศิลป์ ชาวบ้านพบเห็นอะไรก็จะมาบอก พบงูใหญ่ในป่า พบสัตว์หรือสิ่งของแปลกๆในป่าจะมาบอกตลอด จนวันหนึ่งชาวบ้านบอกว่า พบปราสาทหินแห่งหนึ่งในป่าซึ่งอยู่ในเขตเมืองงาย เป็นภูเขารูปร่างคล้ายปราสาท ตนจึงจัดทีมสำรวจจำนวน 19 คนไปตรวจสอบ โดยใช้เงินทุนส่วนตัวทั้งหมด และในอดีตเครื่องถ่ายวิดีโอใหญ่มาก พร้อมแบตเตอรี่รถยนต์ต้องแบกเข้าป่าไปนานเป็นสัปดาห์ แต่หาปราสาทหินไม่เจอ ยังหลงป่าอีกด้วย เมื่อเข้าไปในป่าแล้วไม่เจอปราสาทหิน ก็เลยสำรวจภูเขาและถ้ำต่างๆในบริเวณดังกล่าว โดยแยกย้ายกันค้นหาของแปลก แล้วมารวมตัวกันสรุปสิ่งที่พบเห็น ในบริเวณดังกล่าวมีถ้ำประมาณ 10 แห่ง พบถ้ำ 7 แห่ง มีโลงศพโบราณ หรือในอดีตชาวบ้านเรียกว่า “ล่อง” จึงเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำล่อง” และยังพบถ้ำอีกแห่งหนึ่งห่างออกไปไม่ถึง 1 กม. ในถ้ำมีโครงกระดูกขนาดใหญ่ นำมาศึกษาค้นคว้าแล้วเชื่อว่าเป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์

อาจารย์อัญเชิญ กล่าวและเล่าว่า “ในส่วนของโลงโบราณในถ้ำล่อง พบมีโลงโบราณที่ถือว่าสมบูรณ์มากในถ้ำต่างๆดังกล่าว บางถ้ำพบ 2-3 โลง และพบถ้ำหนึ่งมีมากถึง 10 โลง ภายในโลงมีกระโหลก และสิ่งของต่างๆ ซึ่งถ้ำล่องแห่งนี้เคยให้นักโบราณคดีของกรมศิลปากรเข้าไปสำรวจและทำประวัติ แต่ไม่ประทับใจชาวบ้าน เพราะการทำงานของกรมศิลปากรทำงานไม่ชำนาญ และครั้งนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงทั้งหมด ได้ทำให้วัตถุโบราณเสียหายไปจำนวนมาก เช่นนำโลงศพออกมาจากถ้ำไม่ได้ก็ใช้มีดฟันโลง นำเอาไม้จากโลงศพโบราณมาเพียงชิ้นเล็กๆชิ้นเดียวเท่านั้น”

“ในส่วนของถ้ำที่พบโครงกระดูก ช่วงที่เข้าไปขุดค้นขณะนั้นได้เข้าไปในส่วนของหัวโครงกระดูกไดโนเสาร์ มีช่องลงไปแคบๆ ลักษณะโครงกระดูกนอนราบ คล้ายกิ้งก่ายักษ์ที่ถูกดินทับถมอยู่ วัดระยะความยาวประมาณ 13 เมตร ปัจจุบันก็ยังติดอยู่ที่ถ้ำจำนวนหนึ่ง ส่วนที่นำออกมาได้มีชาวบ้านบางคนนำออกมา ซึ่งตนคาดว่าโครงกระดูไดโนเสาร์ที่ค้นพบครั้งนี้ น่าจะมีอายุเกิน 3,000 ปี ถ้ำแห่งนี้น่าแปลก ได้ทดลองจุดประทัดไม่มีเสียงดังออกมาเลย มองเห็นแสงไฟแต่ไม่มีเสียง และไม่มีอากาศหายใจ เข้าไปได้เพียง 10 นาทีก็ต้องออกมาแล้วเข้าไปใหม่ อย่างไรก็ตามกรณีโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่พบนี้ ตนกำลังอยู่ในระหว่างวางแผนศึกษาค้นคว้าต่อไป หากผู้เชี่ยวชาญท่านใดสนใจก็ติดต่อปรึกษากับตนได้ที่เบอร์ 081-8828584 ได้ทุกวัน อาจาย์อัญเชิญ โกฎแก้ว ประธานวัฒนธรรมตำบลเมืองงาย กล่าว.

ร่วมแสดงความคิดเห็น