ฤดูฝนนี้ เตือนระวังเห็ดพิษ ปีนี้ตายแล้ว 1 ราย

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชน ที่เก็บหรือซื้อเห็ดป่า มาปรุงอาหารรับประทาน ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ อาจเป็นเห็ดพิษ เสี่ยงเสียชีวิตได้ โดยในปีนี้พบผู้ป่วยเกือบ 100 ราย เสียชีวิตแล้ว 1 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหน้าฝนนี้ หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าจะเป็นเห็ดพิษ ไม่ควรเก็บมาปรุงอาหาร ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยง การรับประทานเห็ดร่วมกับดื่มสุรา
วันที่ (16 พ.ค.61) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และหลังฝนตกจะมีเห็ดป่าขึ้นเองตามธรรมชาติจำนวนมาก ประชาชนมักเก็บมาขาย หรือนำมาปรุงอาหารรับประทานในครอบครัว ซึ่งแต่ละปีจะพบผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษเป็นประจำ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ เนื่องจากเป็นพื้นที่ ที่ประชาชนนิยมรับประทาน แต่เนื่องจากเห็ดป่ามีทั้งเห็ดที่รับประทานได้ และเห็ดพิษ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้

จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค ในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 5 พ.ค. 61 ได้รับรายงานผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษ จำนวน 94 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ส่วนข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) เฉพาะในช่วงหน้าฝนของทุกปี (พ.ค.– ก.ย.) พบผู้ป่วยปีละประมาณ 1,000 ราย หรือประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยตลอดทั้งปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน จนถึงผู้สูงอายุ (อายุ 45 ปีขึ้นไป) ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า เห็ดที่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตส่วนใหญ่ คือ เห็ดระโงกพิษ บางแห่งเรียกว่าเห็ดระโงกหิน เห็ดระงาก หรือเห็ดไข่ตายซาก ซึ่งเห็ดชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับเห็ดระโงกขาว หรือไข่ห่าน ที่สามารถรับประทานได้ แต่แตกต่างกันคือ เห็ดระโงกพิษจะมีก้านสูง กลางดอกหมวกจะนูนเล็กน้อย มีกลิ่นค่อนข้างแรง นอกจากนี้ยังมีเห็ดป่าชนิด ที่มีพิษรุนแรงคือ เห็ดเมือกไครเหลือง โดยประชาชนมักสับสนกับเห็ดขิง ซึ่งชนิดที่เป็นพิษ จะมีเมือกปกคลุมและมีสีดอกเข้มกว่า ซึ่งยากแก่การสังเกตด้วยตาเปล่า

ส่วนเห็ดอีกชนิด คือ เห็ดหมวกจีน จะเป็นเห็ดที่คล้ายกับเห็ด โคนขนาดเล็ก ทั้งนี้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ใช้ทดสอบความเป็นพิษของเห็ด เช่น การจุ่มช้อนเงินลงไปในหม้อต้มเห็ด การนำไปต้มกับข้าวสาร หรือใช้ปูนกินหมากป้ายที่ดอกเห็ด ถ้าเป็นเห็ดพิษจะกลายเป็นสีดำ เป็นต้น วิธีเหล่านี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิงในการใช้ทดสอบพิษกับเห็ดกลุ่มนี้ได้ โดยเฉพาะเห็ดระโงกพิษ ที่มีสารที่ทนต่อความร้อน แม้จะปรุงให้สุกแล้ว เช่น ต้ม แกง ก็ไม่สามารถทำลายสารพิษนั้นได้

สำหรับอาการหลังรับประทานเห็ดพิษแล้ว จะคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือถ่ายอุจจาระเหลว ไม่ควรซื้อยากินเองหรือไปรักษากับหมอพื้นบ้าน การช่วยเหลือในเบื้องต้นคือ กระตุ้นให้ผู้ป่วยอาเจียนโดย ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ล้วงคอให้อาเจียน หรือดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกง แล้วล้วงคอให้อาเจียนออกมา (วิธีนี้ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี) จากนั้นรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการรับประทานเห็ดโดยละเอียด พร้อมกับนำตัวอย่างเห็ดพิษไปด้วย (หากยังเหลืออยู่) และควรให้ผู้ป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือนัดติดตามอาการทุกวัน จนกว่าจะหายเป็นปกติ เนื่องจากเห็ดพิษชนิดร้ายแรง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในช่วงวันแรก แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงตามมาคือ การทำงานของตับและไตล้มเหลว อาจทำให้เสียชีวิตได้

ขอเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเก็บเห็ดไข่ห่าน เห็ดโม่งโก้ง เห็ดระโงก หรือเห็ดระงาก ขณะที่ยังเป็นดอกอ่อนหรือดอกตูม ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนกลมรี คล้ายไข่ มารับประทาน เนื่องจากไม่สามารถทราบได้ว่า เป็นเห็ดมีพิษหรือไม่ เพราะลักษณะดอกตูมภายนอกจะเหมือนกัน ที่สำคัญหากไม่แน่ใจ ไม่รู้จัก หรือสงสัยว่าจะเป็นเห็ดพิษ ก็ไม่ควรเก็บหรือซื้อมาปรุงอาหาร รวมถึงหลีกเลี่ยงการรับประทานเห็ดร่วมกับดื่มสุรา เพราะฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ จะทำให้พิษเห็ดแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และทำให้อาการรุนแรงขึ้นด้วย หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ร่วมแสดงความคิดเห็น