“พระนางจามเทวี” ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย

การสร้างเมืองหริภุญชัยหรือเมืองลำพูน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างบ้านเมืองของชุมชนที่เจริญเข้าสู่ช่วงสมัยประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวของเมืองหริภุญชัยส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่ปรากฏในเอกสาร ทั้งที่เป็นจารึก ตำนานต่าง ๆ และพงศาวดาร เช่นตำนานมูลศาสนา ,พงศาวดารเมืองหริภุญชัยและชินกาลมาลีปกรณ์

ข้อความส่วนใหญ่ของตำนานดังกล่าวข้างต้นจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาและแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างเมืองหริภุญชัยเอาไว้ด้วย ซึ่งกล่าวไว้ว่า พระฤาษีวาสุเทพและพระสุกกทันตฤาษี เป็นผู้สร้างเมืองหริภุญชัย ซึ่งมีรูปสัณฐานคล้ายเปลือกสังข์ใหญ่ทะเล ด้านยาวและด้านกว้างโดยรอบ 1,550 วา จากนั้นได้อัญเชิญพระนางจามเทวี ราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ ให้ขึ้นมาปกครอง ในขณะนั้นพระนางทรงอภิเษกสมรสแล้วและทรงครรภ์ได้สามเดือน ในการเสด็จขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัยของพระนางจามเทวีได้นำคณะสงฆ์ นักปราชญ์ ช่างศิลปวิทยาการหมู่ละ 500 คนขึ้นมาด้วย และกล่าวได้ว่าพระนางจามเทวี ได้เป็นผู้นำเอาพุทธศาสนาขึ้นมาประดิษฐานและเผยแพร่เป็นครั้งแรกในดินแดนแห่งนี้ ระยะเวลาที่พระนางจามเทวีขึ้นมาปกครองเมืองหริภุญชัยตามตำนานระบุศักราชเอาไว้อยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 13

นอกจากนี้ในตำนานยังได้กล่าวรายละเอียดในการเดินทางเอาไว้ว่า พระนางพร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ลงเรือมาตามลำน้ำปิง 7 เดือน เมื่อเสด็จมาถึงชุมชนรัมมคาม (ปัจจุบันคือบ้านกู่ละมัก) พระนางได้หยุดเผยแพร่พระศาสนาแล้วให้คนไปบอกข่าวสารแก่พระฤาษีวาสุเทพและพระสุกกทันตฤาษี จากนั้นพระฤาษีทั้งสองพร้อมทั้งชาวเมืองได้อัญเชิญพระนางขึ้นนั่งบนกองทองคำแล้วอภิเษกเป็นเจ้าผู้ครองเมืองหริภุญชัย อาศัยเหตุที่พระนางจามเทวีนั่งบนกองทองคำ นครแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “หริภุญชัย”
เมื่อพระนางจามเทวีถึงเมืองหริภุญชัยได้ 7 วันจึงได้ประสูติโอรสสององค์คือ เจ้ามหันยศ และเจ้าอนันตยศ หลังจากพระนางครองราชย์ได้ 7 ปีก็ได้อภิเษกเจ้ามหันตยศให้ขึ้นครองราชย์ที่เมืองหริภุญชัยสืบต่อมา ส่วนเจ้าอนันตยศไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ที่บริเวณเชิงเขาเขลางค์บรรพตชื่อเมือง “เขลางค์นคร” เจ้ามหันตยศครองราชย์ที่เมืองหริภุญชัยได้ 80 ปี จากนั้นราชวงศ์จามเทวีก็ได้ครองราชย์สืบต่อมาโดยตลอด
เรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างเมืองหริภุญชัย จากตำนานดังกล่าวนั้น หากวิเคราะห์ในเชิงการศึกษาจะเห็นว่า เมืองหริภุญชัยมีความสัมพันธ์กับหัวเมืองทางภาคกลาง คือเมืองละโว้ การยอมรับและอัญเชิญพระนางจามเทวีให้ขึ้นไปครองราชสมบัติ อาจจะเป็นเพราะว่าหัวทางภาคเหนือขาดบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นกษัตริย์และอีกประการหนึ่งแสดงให้เห็นว่า เมืองละโว้มีความเจริญรุ่งเรืองและมีอิทธิพลทางการเมืองจนเป็นที่ยอมรับของชาวเมืองหริภุญชัย พระนางจามเทวีไม่ได้เสด็จขึ้นมาเพียงพระองค์เดียวหากแต่ได้นำคณะสงฆ์และนักปราชญ์ราชบัณฑิตขึ้นมาด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งนักวิชาการได้วิเคราะห์ว่า น่าจะมีผลในด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นในเมืองหริภุญชัย อันมีผลให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ในสมัยของพระนางจามเทวีจัดได้ว่าเป็นระยะเวลาแห่งการสร้างบ้านแปงเมือง มีการขยายบ้านเมืองออกไปอย่างกว้างขวาง ดังเช่นที่กล่าวในตำนานว่า เจ้าอนันตยศได้ไปสร้างเมืองเขลางค์ขึ้นเป็นเมืองคู่กับเมืองหริภุญชัย แสดงให้เห็นว่าหริภุญชัยไม่ใช่เป็นชื่อเมืองอย่างเดียว หากยังหมายถึงชื่อของแคว้น ๆ หนึ่ง โดยมีเมืองหริภุญชัยเป็นศูนย์กลาง

ในสมัยต่อมาหลักฐานในชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหริภุญชัยกับเมืองสุธรรมนครและเมืองหงสาวดี กล่าวคือ เมื่อพระเจ้ากัมพลครองราชสมบัติได้เกิดเหตุอหิวาตกโรคขึ้นที่เมืองหริภุญชัย ชาวเมืองได้อพยพหนีไปอยู่ที่เมืองสุธรรมนครและเมืองหงสาวดีเป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้เมืองหริภุญชัยยังมีความสัมพันธ์กับเมืองมอญ ซึ่งปรากฏหลักฐานคือ ศิลาจารึกที่ใช้ภาษามอญจำนวน 7 หลักที่ลำพูน ตัวอักษรมอญที่ใช้ในจารึกใกล้เคียงกับอักษรมอญที่เมืองพุกาม ในประเทศพม่ามีอายุระหว่าง พ.ศ.1628 – 1656

ประวัติศาสตร์ของเมืองหริภุญชัย ภายหลังรัชสมัยพระนางจามเทวี ตามที่ปรากฏในเอกสารตำนานและศิลาจารึกรวมทั้งหลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุสถาน ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงกิจกรรมทางศาสนา เช่นการสร้างวัด การบูรณะเจดีย์ การปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ การสร้างพระพุทธรูป การที่จารึกมีภาษาบาลีปนอยู่ด้วยแสดงให้เห็นว่า พุทธศาสนาที่แพร่หลายอยู่ที่เมืองหริภุญชัย ในสมัยนั้นน่าจะเป็นพุทธศาสนาหินยานนิการเถรวาท พระมหากษัตริย์ที่ทรงเอาใจใส่และทำนุบำรุงศาสนาตามที่ได้ระบุไว้ในตำนานคือ พระเจ้าอาทิตยราช พระองค์ได้สร้างพระธาตุเจดีย์หลวงบรรจุพระบรมธาตุขึ้นกลางเมืองหริภุญชัย ส่วนพระอัครมเหสีของพระองค์ พระนางปทุมวดีเทวี ก็ทรงสร้างสถูปชื่อสุวรรณเจดีย์

เมืองหริภุญชัย อาจจะรวมไปถึงแคว้นหริภุญชัย มีความเจริญมากแห่งหนึ่งในบริเวณภาคเหนือตอนบน และมีความสัมพันธ์กับหัวเมืองอื่น ๆ มาตลอด จนมีการยอมรับศิลปวัฒนธรรมจากแหล่งอื่นเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมที่เป็นของตนเอง ในขณะเดียวกันบริเวณภาคเหนือตอนบนยังมีเมืองที่เป็นอิสระที่มีชาวพื้นเมืองอาศัยมาแต่เดิม และได้พัฒนาขึ้นมาจนมีความเจริญทัดเทียมกับเมืองหริภุญชัย
พระมหากษัตริย์ที่ครองเมืองหริภุญชัยสืบต่อจากพระนางจามเทวีมีมาหลายชั่วคนจนถึงกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ พญายีบา ก็ถูกพระเจ้ามังรายกษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงรายในแคว้นโยนก ยกมาตีในปี พ.ศ.1836 ตั้งแต่นั้นมาเมืองหริภุญชัยก็ถูกรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแคว้นโยนกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาที่มีพญามังรายเป็นปฐมกษัตริย์และมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ นับเป็นการสิ้นสุดของเมืองหริภุญชัยที่มีอายุยืนยาวถึง 630 ปี

บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น