แพทย์ยืนยัน!! ป้ากระบะพุ่งชนป่วยจริงโรคสมองเสื่อมถูกกระตุ้นให้โกรธได้ง่าย

แพทย์ยืนยันป้ากระบะพุ่งชนป่วยจริงโรคสมองเสื่อมถูกกระตุ้นให้โกรธได้ง่าย ขณะที่ทางฝั่งผู้ก่อเหตุยินยอมรับผิดทุกกรณี พร้อมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

จากกรณีที่ช่วงเย็นวานนี้ (20 ส.ค.61) ได้เกิดเหตุการณ์ คุณป้าวัย 69 ปี ขับรถพุ่งชน รปภ.ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และรถยนต์เสียหายอีก 4 คัน ซึ่งหลังเกิดเหตุ นางสาวภัทรา บุญเฉลียว อายุ 69 ปีได้เข้ามอบตัว และได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสาเหตุของการขับรถชนเกิดจากอาการป่วยโรคสมองเสื่อม และโรคความจำเสื่อม และมีอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดอารมณ์รุงแรง โมโหง่ายเมื่อถูกกระตุ้นจากสภาพแวดล้อม ทำให้ในโลกโซเชี่ยลต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นข้ออ้างหลังก่อเหตุ ไปต่างๆ นานา ตามที่มีข่าวปรากฎออกมาแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อช่วงสายของวันที่ 21 ส.ค.61 ทางทีมข่าวได้ติดตามไปสัมภาษณ์ หนึ่งในแพทย์ที่เคยทำการรักษา ผู้ป่วยรายนี้มา คือ รศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ประสาทวิทยา อุปนายกสมาคมโรคสมองเสื่อม แห่งประเทศไทย ประธานกรรมการมีสุข Society เผยว่าตอนนี้ได้ประสานและได้รับการอนุญาติจากทางเจ้าตัวผู้ป่วย และทางญาติให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนได้ โดยได้ยืนยันว่า ผู้ป่วยได้เข้ารับการตรวจ และให้คำปรึกษา ที่คลีนิคศิวพรศูนย์สุขภาพ ซึ่งเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจริง เมื่อช่วง 1 ปีก่อน หลังจากนั้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็ได้เข้ารักษาตัวที่ศูนย์โรคสมองภาคเหนือ และยังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาท ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมตามเอกสารที่นำไปอ้างอิงจริง
โดยรศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ประสาทวิทยา อุปนายกสมาคมโรคสมองเสื่อม แห่งประเทศไทย ประธานกรรมการมีสุข Society ยังเปิดเผยว่า ซึ่งผู้ป่วยนั้นมีปัญหาในเรื่องของความจำ มักมีอาการหลงๆ ลื่มๆ บ่อยครั้ง รวมไปถึงมีอาการของโรคสมองเสื่อม ซึ่งอาการของโรคนี้มีอาการแสดงอยู่ 3 อย่าง อันแรกคือเรื่องวุฒิปัญญา มีปัญหาในเรื่องของความจำ และการวางแผน อันที่สองคือเรื่องของพฤติกรรมทางอารมณ์ ที่มีอาการซึมเศร้า และอาการก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย ส่วนอันที่สามคือปัญหาเรื่องของการดูแลตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการขี้ลืมและเรื่องของพฤติกรรมทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมหากขับรถหากเกิดความหงุดหงิดจะมีอาการมากกว่าคนปกติ และนอกจากนี้คนที่ป่วยด้วยโรคดังกล่าวเมื่อขับรถอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับตัวเองมากกว่า เนื่องจากอาจเกิดการหลงทาง และเมื่อมีเหตุอะไรมากระตุ้นก็จะทำให้ควบคุมอารมณ์ได้ยาก รวมไปถึงมีอารมณ์ฉันเฉียวมากกว่าคนปกติเนื่องมาจากอาการของโรค
รศ.พญ.ศิวาพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขณะเดียวกันปัจจุบันประเทศไทยก็ถือได้ว่าเป็นประเทศผู้สูงอายุ ซึ่งโรคที่มากับผู้สูงอายุและเกี่ยวกับสมองก็คือโรคสมองเสื่อม ที่พบเจอเยอะมาก และโรคสมองเสื่อมที่พบเจอก็จะมีอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดสมองตีบ และปัจจัยอื่นๆ แต่ก็สามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้จากการออกกำลังกาย การเทรนสมอง และการลดความดันโลหิตสูง นอกจากนี้แล้วในด้านของการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคดังกล่าวก็แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือการรักษาด้วยยา แต่ยานั้นก็มีราคาสูง และได้ผลที่ไม่ชัดเจน มีผลข้างเคียงมาก และการรักษาด้วยผู้ดูแล ที่เป็นญาติหรือคนใกล้ชิด รวมไปถึงผู้ดูแลที่ถูกจ้างมา ดังนั้นการดูแลลักษณะนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีประสบการณ์และความรู้พอสมควร เพื่อให้สามารถดูแลและเข้าใจผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมาก และการดุแลยังแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ การพยายามให้คนไข้สามารถทำในสิ่งที่เคยทำได้เช่นเดิม อีกอันคือการรักษาเรื่องของอารมณ์ดดยการให้ออกกำลังกาย และสุดท้ายคือการดูแลรักษาร่างกายโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตามจากการสอบถามไปยังผู้ใกล้ชิดที่ดูแลคุณป้า บอกว่าวันที่เกิดเหตุอาสาขับรถไปส่งเพื่อนที่สนามบินไปต่างประเทศ ตั้งใจจอดรถไว้ไม่นานเพื่อเข้าไปส่ง แต่พอช่วงเข้าไปจะกลับออกมาเกิดอาการหลงลืม ทั้งหลงช่องทางที่จะเดินออกจากตัวอาคาร และที่จอดรถจนต้องใช้เวลานานกว่าจะหารถเจอ แถมมาเจอสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมย์จากการถูกล็อคล้อ เข้าไปอีกจึงเกิดอารมย์รุนแรง และโมโหขึ้น หลังเกิดเหตุยังเกิดอาการช๊อค ลืมสิ่งที่กระทำลงไปด้วย
ทั้งนี้ทางฝั่งผู้ก่อเหตุได้ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณีรวมทั้งรับผิดชอบดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บด้วย แม้จะพยายามติดต่อเข้าเยี่ยมอาการแต่ทางฝั่งตรงข้ามยังขอให้รอเวลาก่อนเนื่องจากยังไม่พร้อมจะพูดคุนในสถานการณ์ตรึงเครียดเช่นนี้อยู่

ร่วมแสดงความคิดเห็น