จ.ลำปาง พิจารณากำหนดค่าทดแทนทรัพย์สิน เพื่อการชลประทาน โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า อันเนื่องจากพระราชดำริ

ลำปาง พิจารณากำหนดค่าทดแทนทรัพย์สิน เพื่อการชลประทาน โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า อันเนื่อง จากพระราชดำริ เพื่ออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ) แก่ราษฎรในพื้นที่ อ.แจ้ห่ม วันนี้ 24 ส.ค.61 ที่ห้องประชุมเวียงละกอน ชั้น 4 ศาลากลาง จ.ลำปาง นายศรีโรจน์ นิมมานพัชรินทร์ รองผวจ.ประธานการประชุม “คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สิน เพื่อการชลประทาน โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” พร้อม หน.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ตามที่มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2532 จ.ลำปาง โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า ท้องที่ ต.แจ้ ห่ม อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ได้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ และราคาค่าทดแทนทรัพย์สิน ให้แก่ราษฎรผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิในเขตชลประทาน โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า นั้น ที่ประชุมฯ ได้กำหนดการพิจารณาเรื่องการอนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ) จำนวน 1 บัญชี 11 แปลง เนื้อที่ 4-1-34 ไร่ เป็นเงิน 138,720 บาท ในการนี้คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน อ.แจ้ ห่ม ได้ดำเนินการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงพิจารณาบัญชีขออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ) พร้อมอนุมัติจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว

โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า มีพื้นที่ที่ราษฎรครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน 212 แปลง เนื้อที่ 907-2-05.3 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ราษฎรครอบครองและทำประโยชน์ ทั้งหมด 82 แปลง ดำเนินการจ่ายเงินแล้ว 66 แปลง คงเหลือ 16 แปลง โดยในวันนี้คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบจ่ายเงิน จำนวน 11 แปลง ซึ่งบริเวณถนนเข้าหัวงานคงเหลือค้างจ่าย จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 2-3-71 ไร่

สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านสบฟ้า หมู่ที่ 7 และบ้านม่วงงาม หมู่ที่ 13 ต.แจ้ห่ม อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง โดยราษฎร ต.แจ้ห่ม ได้ถวายฎีกาขอพระราชทานอ่างเก็บน้ำแม่ฟ้า บริเวณบ้านสบฟ้า และบ้านม่วงงาม จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทานดำริ ให้กรมชลประทานพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อส่งน้ำให้พื้นที่เพาะปลูกในฤดูฝน และฤดูแล้ง อีกทั้ง ใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภค และเป็นแหล่งขยายพันธุ์ปลาน้ำจืด ช่วยในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ของราษฎร ช่วยยกฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงการเกิดภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี