ครม.อนมุัติ!! เพิ่มสิทธิประชาชน เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ “รักษาฟรี 72 ชั่วโมงแรก”

ครม.อนมุัติ!! เพิ่มสิทธิประชาชนเบิกจ่ายยา เวชภัณฑ์ และบริการอื่นๆอีก 1,649 รายการ ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ “รักษาฟรี 72 ชั่วโมงแรก”

รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติให้สามารถเข้ารับการรักษาเร่งด่วนได้ทุกโรงพยาบาลทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ผ่านโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่” หรือชื่อย่อโครงการที่เรียกว่า UCEP (Universal Coverage Emergency Patients )

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้มีประกาศเพื่อรองรับการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ป่วยฯ รวมถึงรายการบัญชีและอัตราค่าใช้จ่าย จำนวน 2,970 รายการ
รัฐบาลได้ดำเนินการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1เมษายน 2560 เป็นต้นมา โดยพบว่ามีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ 23,570ราย ซึ่งร้อยละ 94 หรือกว่า 22,000 รายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน การดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าสถานพยาบาลประสบปัญหาไม่สามารถเบิกค่าบริการบางรายการที่มีความจำเป็นต่อการรักษาได้
มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มบัญชีรายการยา เวชภัณฑ์ และบริการอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการรักษาเพิ่มเติมอีก จำนวน 1,649 รายการ ใน 4 หมวด ได้แก่
1.ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค 226 รายการ
2.ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด 1,029 รายการ
3.ค่าเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา 36 รายการ
4.ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ 358 รายการ
ด้วยนโยบายที่ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสำเร็จเป็นรูปธรรมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 องค์การอนามัยโลกได้จัดอันดับให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าการจัดการสถานการณ์ปัญหาโรคไม่ติดต่อเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมสำหรับผลความสำเร็จดังกล่าว
สำหรับช่วงวันที่ 28-30 สิงหาคม 2561 นี้ คณะทำงานด้านโรคไม่ติดต่อขององค์การสหประชาชาติ (UNIATF) จะมาติดตามความก้าวหน้าด้านการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อของไทย ตามข้อตกลงในปฏิญญาของสหประชาชาติว่าด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ตั้งเป้าลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยละ 25 ภายในปี 2568 และลดลง 1ใน 3 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
ข้อมูลจาก : สำนักประชาสัมพันธ์เขต 7

ร่วมแสดงความคิดเห็น